xs
xsm
sm
md
lg

มาร์คให้สุเทพคุมความมั่นคง "ปณิธาน"นั่งรองเลขาฯควบโฆษกฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการแบ่งงานรองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯว่าในส่วนของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มีงานที่เคยกำกับดูแลอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามเดิม อาจจะมีเพิ่มเติมไปบ้าง ส่วนนายกอร์ปศักดิ์ จะดูเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก นายสุเทพ จะดูเรื่องความมั่นคง
สำหรับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายวีระชัย วีระเมธีกุล จะดูด้านเศรษฐกิจ กับการบริหารจัดการ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย จะดูเรื่องสื่อ และกฎหมาย ส่วนเรื่องการเมือง ทุกคนต้องช่วยกันดูแล
เมื่อถามว่านายปณิธาน วัฒนายากร ตอบรับเป็นโฆษกรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มาเป็นรองเลขาธิการนายกฯ แต่จะขอให้ปฏิบัติหน้าที่โฆษกฯไปก่อน ในระหว่างที่ยังไม่มีโฆษกฯ เมื่อถามว่า กว่าจะมีโฆษกฯอีกนานหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะดูตามความเหมาะสมต่อไป และจะต้องมีรองโฆษกฯด้วย

**"มาร์ค"ยันอัดฉีดงบปี52 เพิ่ม
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงความห่วงใยกรณีที่รัฐบาลจะอัดฉีดเงินงบประมาณประจำปี 2552 เบิ้ลจากเดิมไปอีก ซึ่งเกรงว่าจะเป็นการแหกวินัยการเงินการคลังไปว่า ได้ดูตัวเลขกันอยู่ จะไม่ให้มีการเกินเรื่องกรอบเกี่ยวกับการก่อหนี้ กู้เงิน ฉะนั้นไม่ผิดวินัยการเงินการคลังแน่นอน
ส่วนการดูดเงินจากธนาคารของภาครัฐออกมานั้น ยังไม่ใช่ข้อยุติ เราจะดูความเป็นไปได้ ซึ่งเวลานี้มีความห่วงใยว่า ถ้าเดินตามกรอบของงบประมาณกลางปีปกติ กว่าเงินจะลงไปถึงประชาชนอาจจะเป็นเดือนมี.ค. หรือเม.ย. ซึ่งอาจจะล่าช้าเกินไป ทั้งนี้ตนคิดว่ามีหลายวิธีที่จะแก้ไขปัญหานี้ การคิดที่จะใช้เงินจากธนาคารรัฐ เป็นเพียงแนวคิดหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คิดว่าเงินที่ว่านี้ควรจะถึงมือประชาชนเร็วที่สุด เพราะกำลังซื้อของประชาชนได้รับผลกระทบมาก เกษตรกรได้รับผลกระทบเรื่องพืชผล และเราจะเห็นภาพปัญหาแรงงานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และการส่งออกเดือนพฤศจิกายน ติดลบ

**สาวกรี๊ดมาร์คเชียร์ทีมไทย
ผู้สื่อข่างรายงานว่า เวลา 18.30 น. วานนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปชมการแข่งขันฟุตบอลซูซูกิคัพ รอบชิงชนะเลิศนัดแรก ระหว่างทีมชาติไทย กับ ทีมชาติเวียดนาม ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ที่เริ่มเตะในเวลา 19.00 น. โดยนายอภิสิทธิ์ ได้สวมเสื้อทีมชาติไทยทีมเหย้า (เจ้าบ้าน) ยี่ห้อไนกี้ สีเหลือง หมายเลข 27 เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมชาติไทย โดยก่อนการแข่งขัน นายอภิสิทธิ์ได้เดินลงไปจับมือกับนักฟุตบอลและสต๊าฟโค้ชทั้งสองทีม ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดของแฟนบอลสุภาพสตรีในสนาม จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้ขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์วีไอพีโซนมีหลัง เพื่อร่วมเชียร์ทีมชาติกับผู้ชมในสนามด้วย

**"ปณิธาน"รับเป็นโฆษกรัฐบาล
นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลทาบทามให้มาดำรงตำแหน่งโฆษกรัฐบาลว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบกระบวนและรายละเอียดที่รัฐบาลจะขออนุมติจากมติ ครม. ซึ่งทางต้นสังกัด คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็ต้องการให้ตนอยู่ช่วยงานสอนต่อไป ซึ่งเมื่อปฎิบัติภาระงานเสร็จก็ต้องกลับมาสอนต่อ
นายปณิธาน กล่าวด้วยว่า การเข้ามารับตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คงจะเป็นการปฏิบัติราชการชั่วคราวเท่านั้น เพื่อรอให้รัฐบาลสรรหาบุคคลที่เหมาะสมมาทำงานต่อ และตนก็จะไปช่วยงานรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ด้านวิชาการ ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นงานด้านการต่างประเทศ หรืองานทางภาคใต้ ต้องรอคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และไม่รู้สึกหนักใจที่คนบางกลุ่มจะต่อต้าน ที่มาร่วมงานกับรัฐบาลชุดนี้ เพราะทำงานตามหน้าที่
นายปณิธาน กล่าวว่า จะต้องดูพระราชกฤษฏีกา เพราะตามระเบียบของข้าราชการ อาจะเป็นลักษณะในการไปช่วยราชการ หรือโยกย้ายการทำงาน หากเสร็จสิ้นแล้วก็จะกลับไปเป็นอาจารย์ จุฬาฯ ตามเดิม อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของครม. และจะเริ่มทำงานได้ภายหลังจากที่มีมติครม. แต่งตั้ง
**"วีระชัย"ขอพิสูจน์ด้วยผลงาน
นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแบ่งงานระหว่างรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯว่า น่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลการประสานงานด้านเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ซึ่งอาจเกี่ยวกับประเทศจีน ที่ผ่านมาได้คุยกับทูตจีนทราบว่าจะมีทูตคนใหม่ ซึ่งตนคงจะประสานงานตรงนี้ต่อไป และน่าจะประสานงานเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้กำลังจัดเตรียมทีมงาน ซึ่งจะมีทั้งบุคคลจากภาคธุรกิจ ภาคราชการบางส่วนที่จะเข้ามาร่วมงาน
ส่วนที่มีความกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น นายวีระชัย กล่าวว่า คงต้องไปดูผลงานในอดีตว่า ตนเคยทำประโยชน์ให้คนใดคนหนึ่ง คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ แต่คิดว่าสำคัญที่สุดนั่นคือ สิ่งที่จะพูดไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่จะทำ เมื่อตนเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ ก็พร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบ
"จะไม่เอื้อให้ใคร ไม่ว่าจะคนใด หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง สิ่งที่ผมเคยทำงานมาในอดีตอยากให้ไปลองถามข้าราชการที่กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงต่างประเทศได้ว่า มีหรือไม่ ผมไม่คิดว่าผมดีสมบูรณ์แบบ แต่ก็พร้อมทำงาน ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ผมก็พร้อมน้อมรับ"
เมื่อถามว่าหากทำงานได้ดี จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายวีระชัย กล่าวว่า "ลึกๆ แล้วผมมีสัญญาใจกับท่านเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายกฯ ก็คงจะทราบแล้ว ทั้งนี้ผมขอพิสูจน์การทำงานสักระยะหนึ่งว่า เป็นบุคคลกรการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคประชาธิปัตย์ และเมื่อรับตำแหน่งนี้แล้วก็จะตั้งใจทำงานให้กับประเทศชาติ"

** ยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
เมื่อถามถึง ความสัมพันธ์กับนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ล่าสุด นายธนินทร์ ออกมาให้สัมภาษณ์เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันหรือไม่ นายวีระชัยกล่าวว่า "ยังไม่ได้ฟังสิ่งที่ท่านพูดว่าอย่างไร คิดว่าจะไปดูคำให้สัมภาษณ์อีกที แต่มั่นใจว่า จะไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่ได้เคยบอกไปแล้วว่าอยากให้ดูการทำงานในอดีตของตน ยิ่งตนอยู่ในความสนใจของพี่น้องสื่อมวลชนขนาดนี้ คิดว่าจะได้รับการตรวจสอบ และคิดว่าคำว่า โปร่งใส ต้องสูงกว่าคนอื่นด้วย" เมื่อถามว่า พร้อมทิ้งตำแหน่งหรือไม่ หากมีผลประโยชน์ทับซ้อน นายวีระชัย กล่าวว่า คนทำงานการเมืองอยากจะก้าวหน้าทางการเมืองทั้งนั้น แต่การทำงานเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วไม่ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน ก็ต้องหยุด สิ่งที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รมว.คลัง เคยพูดไว้ว่า ต้องนึกเสมอไม่ใช่มาแล้วได้เป็นรัฐมนตรีแล้วทำอะไร แต่อยากให้ดูว่า เมื่อออกไปแล้วคนจะพูดถึงเราว่าอะไร ซึ่งตนจำมาโดยตลอด
เมื่อถามว่าพร้อมเอาตำแหน่งเป็นเดิมพันเลยหรือไม่นายวีระชัยกล่าวว่า หากทำผิดผมก็พร้อมยินดี ถ้าไม่ถูกต้องคิดว่านายกฯ พร้อมดำเนินการอยู่แล้ว
ในช่วงท้ายหลังการให้สัมภาษณ์ นายวีระชัย ได้มองหน้าสื่อมวลชนด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับบอกว่า "ผมขอชี้แจง วันนั้นไม่คิดว่าผมน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่มีน้ำตาคลอเบ้า" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ต้องชี้แจงเพราะกลัวคนมองว่าอ่อนแอ ใช่หรือไม่นายวีระชัยกล่าวว่า ไม่ แต่ต้องการชี้แจงความเป็นจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา14.00 น.นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล โดยคาดว่านางพรทิวา น่าจะมาชี้แจงแนวทางการทำงาน และขอความเห็นจากนายกฯด้วย

**รายการอภิสิทธิ์พบประชาชนมีแน่
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรายการ นายกรัฐมนตรีพบประชาชน หรือรายการอภิสิทธิ์พบประชาชนทางสถานีโทรทัศน์ ว่า ตามหลักการแล้วจะต้องมีการจัดรายการประเภทนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลต้องรายงานการทำงานให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งรูปแบบของรายการนั้นมีผู้เสนอเข้ามายังรัฐบาลจำนวนมาก ซึ่งตนกำลังหารือกับนายกรัฐมนตรีว่า เราจะใช้รูปแบบใด และจะจัดรูปแบบการจัดรายการเมื่อใด โดยจะได้รับความชัดเจนภายหลังแถลงนโยบายรัฐบาล และเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว เช่น รูปแบบนายกรัฐมนตรีพูดคนเดียว และสื่อสารกับประชาชนโดยตรง รูปแบบการไปพบปะพี่น้องประชาชนเป็นกลุ่มๆ โดยอาจจะเป็นกลุ่มปัญหา และนายกรัฐมนตรีจะพูดคุย โดยอยู่ตรงกลาง และพูดคุยกับประชาชนโดยอาจจะมีถามตอบกัน
รูปแบบที่นายกรัฐมนตรีหากจะพูดเรื่องอะไร จะต้องมีรัฐมนตรีที่รับผิดชอบมานั่งตอบด้วย ก่อนที่จะอธิบายความเรื่องนั้นๆ รูปแบบที่มีพิธีกรที่เก่ง มีความสามารถมาตั้งคำถามต่อนายกรัฐมนตรี หรือรูปแบบที่นายกรัฐมนตรีพูดไปแล้วจะเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาตั้งคำถาม และโฟนอินทางโทรศัพท์ด้วย เป็นต้น
"ส่วนตัวมีรูปแบบที่คิดไว้บ้าง แต่ขึ้นอยู่กับนายกฯ ว่า สะดวกจะใช้รูปแบบใดเพราะขณะนี้มีรูปแบบเยอะ และนายกรัฐมนตรีก็จะสามารถชี้แจงให้กับประชาชนว่า ทำอะไรไปด้วย ซึ่งรัฐบาลจะต้องเลือกรูปแบบที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ที่สุด"

**เน้นเรื่องงานไม่โต้ตอบทางการเมือง
ส่วนหากรูปแบบนายกรัฐมนตรีพูดคนเดียว จะไปซ้ำกับที่อดีตนายกรัฐมนตรี เช่น นายสมัคร สุนทรเวช หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนถูกสังคมบางส่วนต่อว่าต่อขานว่า นั่งพูดคนเดียวหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสีย เพราะประเด็นใหญ่คงไม่ได้อยู่ที่รูปแบบอย่างเดียว เพราะจะต้องขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่พูดด้วย โดยเนื้อหาอาจจะพูดเรื่องที่ตัวเองทำอะไรไว้บ้าง หรือเป็นเป้าประสงค์ที่ต้องการมาพูดเรื่องการเมือง จริงๆ ตามหลักของรายการนายกฯ พบประชาชน เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการทราบว่า นายกรัฐมนตรีทำงานอะไรให้เขาบ้าง ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองบ้าง แต่ไม่ควรเป็นเวทีที่นายกรัฐมนตรีมาพูด หรือมาตอบโต้ทางการเมือง คือไปว่ากล่าวคนอื่นเพียงฝ่ายเดียว ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากมีรายการนี้ขึ้นมา นายกรัฐมนตรีก็จะต้องยึดหลักนี้ด้วย

**ใจดีเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายค้านด้วย
อย่างไรก็ตาม จะมีการเปิดพื้นที่ให้ผู้นำฝ่ายค้านใช้ออกอากาศด้วยนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตามหลักที่ยึดกันมาโดยตลอด จะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ตัวรัฐบาล ข่าวจะต้องมีความสมดุลในทุกๆ ด้าน ในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน และทำหนังสือขอมายังสื่อของรัฐ ในช่วงที่ไม่มีรายการของผู้นำฝ่ายค้าน แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาล และกำกับสื่อเองแล้ว จึงคิดว่าแนวทางให้ผู้นำฝ่ายค้านมีพื้นที่ออกอากาศด้วยจะมีความเหมาสม และจะเป็นการเปิดพื้นที่ทั้งสองฝ่าย โดยจะหารืออีกครั้งว่า จะให้ออกอากาศในเวลาที่เท่าเทียมกันหรือไม่ ซึ่งจะต้องดูว่า ผู้นำฝ่ายค้านจะขอเข้ามาหรือไม่อย่างไร เนื่องจากจะต้องหารือด้านความเหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ แต่ในหลักการ ต้องมีความเท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย

-------------------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น