ASTVผู้จัดการรายวัน-“อลงกรณ์” เดินหน้าคิดบัญชี “ไชยา” ขายข้าวทำรัฐขาดทุน 3 หมื่นล้านบาท
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลทั้ง 2 ครั้งรวม 2.8 ล้านตัน สมัยที่นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรมว.พาณิชย์ เพราะเห็นว่าทำให้รัฐขาดทุนมหาศาลกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อตนมานั่งกระทรวงพาณิชย์แล้ว การระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลจะต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส และรัฐต้องได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ขาดทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้ การระบายข้าวในสต๊อกในสมัยนายไชยาเป็นรมว.พาณิชย์นั้น การเปิดประมูลครั้งแรก 5 พ.ย. เป็นการระบายข้าวสต๊อกเก่า มีเสียงบ่นจากผู้ส่งออกว่าไม่โปร่งใส เพราะไม่เปิดซองราคาในวันเดียวกันกับวันยื่นซองข้อเสนอ และท้ายที่สุด การอนุมัติขายยังไม่คำนึงถึงราคาตลาดขณะนั้น โดยขายข้าวในราคาต้นทุนที่รับจำนำเข้ามา ซึ่งถือเป็นการขายที่ผิดปกติ จากการประมูลข้าวของรัฐบาลทุกครั้ง ที่จะยึดหลักราคาตลาด และหักค่าเสื่อมราคาให้ปีละ 10 เหรียญสหรัฐ ผลทำให้รัฐบาลขาดทุนจากการขายข้าวครั้งแรกสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท
และครั้งที่ 2 วันที่ 28 พ.ย. เป็นการประมูลข้าวสต๊อกใหม่ และเก่าบางส่วน ก็มีการเปิดประมูลอย่างเร่งรีบ และอนุมัติขายทั้งๆ ที่ยังเจรจาต่อรองกับผู้เสนอซื้อข้าวยังไม่แล้วเสร็จ โดยเซ็นอนุมัติก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคพลังประชาชนเพียง 1 วัน ซึ่งในการขายครั้งที่ 2 นี้ เป็นการขายโดยอิงราคาตลาด แต่ขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้รัฐขาดทุนอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพราะต้นทุนรับจำนำข้าวสูง
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลทั้ง 2 ครั้งรวม 2.8 ล้านตัน สมัยที่นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรมว.พาณิชย์ เพราะเห็นว่าทำให้รัฐขาดทุนมหาศาลกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อตนมานั่งกระทรวงพาณิชย์แล้ว การระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลจะต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส และรัฐต้องได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ขาดทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้ การระบายข้าวในสต๊อกในสมัยนายไชยาเป็นรมว.พาณิชย์นั้น การเปิดประมูลครั้งแรก 5 พ.ย. เป็นการระบายข้าวสต๊อกเก่า มีเสียงบ่นจากผู้ส่งออกว่าไม่โปร่งใส เพราะไม่เปิดซองราคาในวันเดียวกันกับวันยื่นซองข้อเสนอ และท้ายที่สุด การอนุมัติขายยังไม่คำนึงถึงราคาตลาดขณะนั้น โดยขายข้าวในราคาต้นทุนที่รับจำนำเข้ามา ซึ่งถือเป็นการขายที่ผิดปกติ จากการประมูลข้าวของรัฐบาลทุกครั้ง ที่จะยึดหลักราคาตลาด และหักค่าเสื่อมราคาให้ปีละ 10 เหรียญสหรัฐ ผลทำให้รัฐบาลขาดทุนจากการขายข้าวครั้งแรกสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท
และครั้งที่ 2 วันที่ 28 พ.ย. เป็นการประมูลข้าวสต๊อกใหม่ และเก่าบางส่วน ก็มีการเปิดประมูลอย่างเร่งรีบ และอนุมัติขายทั้งๆ ที่ยังเจรจาต่อรองกับผู้เสนอซื้อข้าวยังไม่แล้วเสร็จ โดยเซ็นอนุมัติก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคพลังประชาชนเพียง 1 วัน ซึ่งในการขายครั้งที่ 2 นี้ เป็นการขายโดยอิงราคาตลาด แต่ขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้รัฐขาดทุนอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพราะต้นทุนรับจำนำข้าวสูง
