ASTV ผู้จัดการรายวัน – เลขาธิการ สปส.ยืนยันความพร้อมเม็ดเงินเพื่อรองรับปัญหาการว่างงานในปีหน้า การันตีทุกฝ่ายคลายกังวลได้ ยอดรวมอาจมีเม็ดเงินพร้อมจ่ายถึง 5 หมื่นล้านบาท แต่คาดเพียง 9,000 ล้านบาทสำหรับงบที่เตรียมไว้ประจำทุกปีน่าจะเพียงพอแล้ว หลังนโยบายรัฐบาลและรมว.แรงงานคนใหม่เน้นความสำคัญกับปัญหาในเรื่องนี้จนเชื่อว่าอาจไม่รุนแรงมากนัก ส่วนเงินปล่อยกู้ผ่านธนาคาร บอร์ดมีมติให้ล็อตแรก 10,000 ล้านบาท ใช้แบบทยอยช่วยเหลือ หากไม่พอพร้อมขยายเพิ่ม ย้ำที่ทำเพื่อผู้ประกันตนทุกคน ดีกว่าว่างงานแล้วรับรายได้เพียงครึ่งเดียว
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยถึงความพร้อมของสปส. สำหรับกรณีที่ผู้ประกันตนที่อาจมีการว่างงานเพิ่มมากขึ้นในปี 2552 ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า เรื่องดังกล่าวไม่สร้างความกังวลกับสปส. และขอยืนยันถึงสมาชิกผู้ประกันตนทุกคนว่า สปส.มีความพร้อมรองรับเรื่องดังกล่าวเต็มที่ไม่ต้องกังวล เพราะโดยรวมสปส.มีเงินกองทุนที่แบ่งไว้รองรับในส่วนการว่าง ซึ่งเมื่อรวมกับงบในปีหน้าด้วยแล้วจะอยู่ที่กว่า 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทุกปีสปส.จะเตรียมเงินไว้ในส่วนเพื่อรองรับการว่างงาน ปีละ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2550 ได้ใช้เงินดังกล่าวจ่ายให้แก่ผู้ว่างงานที่เป็นเป็นสมาชิกสปส.ทั้งหมดไปเพียง 2,000 ล้านบาท เหลือเม็ดเงินประมาณ 7,000 ล้านบาทที่นำไปสะสมรวมกับยอดเงินที่เหลือจากปีก่อนๆ ซึ่งขณะนี้มีอยู่รวมกันแล้วประมาณ 35,000 ล้านบาท
ขณะที่ภายในปีนี้ ได้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ว่างงานไปแล้วจำนวน 2,200 ล้านบาท และคาดว่า ณ สิ้นปี จะมีการใช้จ่ายในส่วนนี้ประมาณ 2,500 – 2,700 ล้านบาท โดยเงินในส่วนที่เหลือจะโอนเข้าไปสมทบกับงวดก่อนกัน ดังนั้นจึงคาดว่า สปส.จะเงินพร้อมจ่อยที่สะสมไว้จากงวดปีก่อนๆจนถึงสิ้นปีนี้ประมาณ4หมื่นล้านบาท
ส่วนในปี 2552 สปส.ก็จะเตรียมเงินไว้เพื่อรองรับการว่างเงินเช่นเดิมอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมารวมกับเม็ดเงินที่สะสมไว้ก็จะมียอมเงินรวมกันประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นสปส.จึงคาดว่าน่าจะเพียงพอรองรับกับปัญหาดังกล่าวได้แล้ว แต่หากงบ 9,000 ล้านบาทของปีหน้าไม่เพียงพอที่จะสามารถรองรับได้ ก็จะมีการนำเงินสะสมในส่วนนี้อออกมาช่วยเหลือ
“หากปีหน้าเหตุการณ์เป็นไปดังที่ทุกคนคาดการณ์ เชื่อว่าเงิน9,000 ล้านบาทในปีหน้าคงเพียงพอที่จะรองรับปัญหาดังกล่าว และอาจมีบางส่วนเหลือเก็บนำไปสะสมไว้ได้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์มีความรุนแรงเราก็มีเงินสะสมจากปีที่ผ่านมาที่พร้อมนำมาสำรองได้อย่างไม่น่ากังวล เพราะมีมากกว่าถึงประมาณ 4 เท่าจากงบปกติ”
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเลขาธิการสปส. เชื่อว่าปัญหาการว่างงานในปีหน้าจะไม่รุนแรงเท่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากทิศทางและนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และนายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานคนใหม่ มีความชัดเจนที่จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการว่างงานของประชาชนเป็นเรื่องอันดับต้น โดยจะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้บรรดานายจ้างไม่มีการปลดคนออกจากงาน และถ้ามาตรการดังกล่าวเกิดผลจริงเชื่อว่าปัญหาตัวเลขการว่างงานจะไม่เป็นตามที่หลายฝ่ายกังวลไว้แน่นอน
สำหรับความคืบหน้าในการนำเงินจากกองทุนประกันสังคมบางส่วนออกไปปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการผ่านธนาคารพาณิชย์นั้น เลขาธิการสปส.ให้ความเห็นว่า นี่คืออีกหนึ่งมาตรการที่ออกมารองรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยหวังว่าเมื่อผู้ประกอบการมีเม็ดเงินที่นำไปเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจของตนได้ ก็จะทำให้ปัญหาในการเลิกจ้างลดลงไปด้วย ซึ่งจะตรงกับวัถตุประสงค์ของการปล่อยเงิน ที่ภาครัฐไม่ต้องการให้ปัญหาการเลิกจ้างงานลุกลาม โดยล่าสุดคณะกรรมการสปส. (บอร์ด) ได้มีมติให้จัดสรรเงินดังกล่าวไว้ดำเนินงานช่วงประมาณ 10,000 ล้านบาทแล้ว
ทั้งนี้ สปส.ยืนยันว่า เม็ดเงิน 10,000 ล้านบาทนี้จะไม่นำไปปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการแบบทันทีทันใดหมดทั้งจำนวน แต่จะเป็นการทยอยปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยเริ่มต้นอาจจะใช้เพียง 1,000 – 1,500 ล้านบาท ถ้ากระแสความต้องการมีเพิ่มขึ้น และปัญหาในการว่างงานมีความทุเลาะลง โดยอาจใช้เงินในการปล่อยสินเชื่อไปแล้วประมาณ 7 – 8 พันล้านบาทแล้ว แต่กระแสความต้องการยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ก็อาจจะมีการเพิ่มงบประมาณในส่วนดังกล่าวออกมาเพิ่มเติมอีกภายหลัง
นอกจากนี้ เลขาธิการ สปส. ให้ความเห็นถึงกระแสการคัดค้านจากสมาชิกผู้ประกันตนบางส่วนที่ไม่ต้องการให้ สปส. นำเงินของกองทุนเข้าไปช่วยเหลือว่า อยากให้มองถึงความเห็นใจแก่เพื่อสมาชิกกคนอื่นๆที่ต้องประสบปัญหาว่างงานว่า แม้จะได้รับเงินชดเชยจากสปส. แต่ก็จะได้เพียงครึ่งเดียวของเงินเดินที่ได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าบางรายจะไม่พอสำหรับใช้จ่ายต่อเดือนไปด้วย ดังนั้นทุกสิ่งที่สปส.ดำเนินการนี้ มีเหตุผลเพียงเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับผู้ประกันตนทุกคนเท่านั้น
ส่วนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม สปส.ยืนยันว่าแม้ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวขณะนี้จะส่งผลต่อการลงทุนประเภทต่างๆ อย่างไรก็ตามในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศของกองทุนสปส.ยังสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากกำไรการลงทุนในงวด 9 เดือนของปี 2551 ที่ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น ณ ขณะนี้ สปส.ยังไม่มีแนวคิดที่จะถอนหน่วยลงทุน หรือนำเงินที่ไปลงทุนในต่างประเทศกลับ โดยยังคงสัดส่วนการลงทุนไว้เท่าเดิม
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยถึงความพร้อมของสปส. สำหรับกรณีที่ผู้ประกันตนที่อาจมีการว่างงานเพิ่มมากขึ้นในปี 2552 ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า เรื่องดังกล่าวไม่สร้างความกังวลกับสปส. และขอยืนยันถึงสมาชิกผู้ประกันตนทุกคนว่า สปส.มีความพร้อมรองรับเรื่องดังกล่าวเต็มที่ไม่ต้องกังวล เพราะโดยรวมสปส.มีเงินกองทุนที่แบ่งไว้รองรับในส่วนการว่าง ซึ่งเมื่อรวมกับงบในปีหน้าด้วยแล้วจะอยู่ที่กว่า 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทุกปีสปส.จะเตรียมเงินไว้ในส่วนเพื่อรองรับการว่างงาน ปีละ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2550 ได้ใช้เงินดังกล่าวจ่ายให้แก่ผู้ว่างงานที่เป็นเป็นสมาชิกสปส.ทั้งหมดไปเพียง 2,000 ล้านบาท เหลือเม็ดเงินประมาณ 7,000 ล้านบาทที่นำไปสะสมรวมกับยอดเงินที่เหลือจากปีก่อนๆ ซึ่งขณะนี้มีอยู่รวมกันแล้วประมาณ 35,000 ล้านบาท
ขณะที่ภายในปีนี้ ได้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ว่างงานไปแล้วจำนวน 2,200 ล้านบาท และคาดว่า ณ สิ้นปี จะมีการใช้จ่ายในส่วนนี้ประมาณ 2,500 – 2,700 ล้านบาท โดยเงินในส่วนที่เหลือจะโอนเข้าไปสมทบกับงวดก่อนกัน ดังนั้นจึงคาดว่า สปส.จะเงินพร้อมจ่อยที่สะสมไว้จากงวดปีก่อนๆจนถึงสิ้นปีนี้ประมาณ4หมื่นล้านบาท
ส่วนในปี 2552 สปส.ก็จะเตรียมเงินไว้เพื่อรองรับการว่างเงินเช่นเดิมอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมารวมกับเม็ดเงินที่สะสมไว้ก็จะมียอมเงินรวมกันประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นสปส.จึงคาดว่าน่าจะเพียงพอรองรับกับปัญหาดังกล่าวได้แล้ว แต่หากงบ 9,000 ล้านบาทของปีหน้าไม่เพียงพอที่จะสามารถรองรับได้ ก็จะมีการนำเงินสะสมในส่วนนี้อออกมาช่วยเหลือ
“หากปีหน้าเหตุการณ์เป็นไปดังที่ทุกคนคาดการณ์ เชื่อว่าเงิน9,000 ล้านบาทในปีหน้าคงเพียงพอที่จะรองรับปัญหาดังกล่าว และอาจมีบางส่วนเหลือเก็บนำไปสะสมไว้ได้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์มีความรุนแรงเราก็มีเงินสะสมจากปีที่ผ่านมาที่พร้อมนำมาสำรองได้อย่างไม่น่ากังวล เพราะมีมากกว่าถึงประมาณ 4 เท่าจากงบปกติ”
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเลขาธิการสปส. เชื่อว่าปัญหาการว่างงานในปีหน้าจะไม่รุนแรงเท่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากทิศทางและนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และนายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานคนใหม่ มีความชัดเจนที่จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการว่างงานของประชาชนเป็นเรื่องอันดับต้น โดยจะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้บรรดานายจ้างไม่มีการปลดคนออกจากงาน และถ้ามาตรการดังกล่าวเกิดผลจริงเชื่อว่าปัญหาตัวเลขการว่างงานจะไม่เป็นตามที่หลายฝ่ายกังวลไว้แน่นอน
สำหรับความคืบหน้าในการนำเงินจากกองทุนประกันสังคมบางส่วนออกไปปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการผ่านธนาคารพาณิชย์นั้น เลขาธิการสปส.ให้ความเห็นว่า นี่คืออีกหนึ่งมาตรการที่ออกมารองรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยหวังว่าเมื่อผู้ประกอบการมีเม็ดเงินที่นำไปเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจของตนได้ ก็จะทำให้ปัญหาในการเลิกจ้างลดลงไปด้วย ซึ่งจะตรงกับวัถตุประสงค์ของการปล่อยเงิน ที่ภาครัฐไม่ต้องการให้ปัญหาการเลิกจ้างงานลุกลาม โดยล่าสุดคณะกรรมการสปส. (บอร์ด) ได้มีมติให้จัดสรรเงินดังกล่าวไว้ดำเนินงานช่วงประมาณ 10,000 ล้านบาทแล้ว
ทั้งนี้ สปส.ยืนยันว่า เม็ดเงิน 10,000 ล้านบาทนี้จะไม่นำไปปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการแบบทันทีทันใดหมดทั้งจำนวน แต่จะเป็นการทยอยปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยเริ่มต้นอาจจะใช้เพียง 1,000 – 1,500 ล้านบาท ถ้ากระแสความต้องการมีเพิ่มขึ้น และปัญหาในการว่างงานมีความทุเลาะลง โดยอาจใช้เงินในการปล่อยสินเชื่อไปแล้วประมาณ 7 – 8 พันล้านบาทแล้ว แต่กระแสความต้องการยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ก็อาจจะมีการเพิ่มงบประมาณในส่วนดังกล่าวออกมาเพิ่มเติมอีกภายหลัง
นอกจากนี้ เลขาธิการ สปส. ให้ความเห็นถึงกระแสการคัดค้านจากสมาชิกผู้ประกันตนบางส่วนที่ไม่ต้องการให้ สปส. นำเงินของกองทุนเข้าไปช่วยเหลือว่า อยากให้มองถึงความเห็นใจแก่เพื่อสมาชิกกคนอื่นๆที่ต้องประสบปัญหาว่างงานว่า แม้จะได้รับเงินชดเชยจากสปส. แต่ก็จะได้เพียงครึ่งเดียวของเงินเดินที่ได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าบางรายจะไม่พอสำหรับใช้จ่ายต่อเดือนไปด้วย ดังนั้นทุกสิ่งที่สปส.ดำเนินการนี้ มีเหตุผลเพียงเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับผู้ประกันตนทุกคนเท่านั้น
ส่วนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม สปส.ยืนยันว่าแม้ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวขณะนี้จะส่งผลต่อการลงทุนประเภทต่างๆ อย่างไรก็ตามในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศของกองทุนสปส.ยังสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากกำไรการลงทุนในงวด 9 เดือนของปี 2551 ที่ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น ณ ขณะนี้ สปส.ยังไม่มีแนวคิดที่จะถอนหน่วยลงทุน หรือนำเงินที่ไปลงทุนในต่างประเทศกลับ โดยยังคงสัดส่วนการลงทุนไว้เท่าเดิม