ASTVผู้จัดการรายวัน - กระทรวงการท่องเที่ยว ใส่งบ 6 ล้านบาท จัดเคานท์ดาวน์ 20 ด่านชายแดน หวัง นำร่อง สู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางบกโดยรถยนต์ เชื่อมโยงกันระหว่างภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระบุ จัด ต่อเนื่อง 2 ปี ซ้อน สร้างความเคยชิน ก่อน เปิดเสรีอาเซียนในปี 2553
นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้จัดสรรงบประมาณ 5-6 ล้านบาท มอบให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ที่มีเขตติดต่อชายแดน ได้ใช้จัดงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือ เคานท์ดาวน์ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.51 โดยจะจัดงานในพื้นที่ 20 จุดผ่านชายแดนประเทศไทย(ด่าน) แบ่งเป็น 17 ด่าน ที่เป็นสากล เช่น ด่านแม่สาย จ.เชียงราย ติดต่อ อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศ พม่า , ด่าน มุกดาหาร ติดต่อ สะหวันนะเขต ประเทศ สปป.ลาว, ด่าน จ.ตาก ติดต่อเมือง เมียวดี ประเทศพม่า และ ด่านสะเดา ติดต่อประเทศมาเลเซียเป็นต้น และอีก 3 ด่าน ที่ไม่ใช่ด่านสากล
ทั้งนี้ถือเป็นปีแรก ที่กระทรวงฯได้มีการจัดงาน เคานท์ดาวน์ในพื้นที่จุดผ่านแดนโดยตั้งเป้าว่าจะจัด 2 ปี ซ้อน คือ ปีนี้และปีหน้า เพื่อเป็นการเปิดปี VISIT GMS YEAR เนื่องจากในปี 2553 จะมีการเปิดเสรีการค้าและบริการ ร่วมถึงฟรีวีซ่า ในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ตามกรอบเสรีอาเซียน
สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในคืนวันเคานท์ดาวน์จะเน้นเรื่องของการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทยและประเทศเพื่อบ้านตามด่านชายแดนต่างๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมรื่นเริงอื่นๆ การแข่งขันกีฬาและแรลลี่รถยนต์ กลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าชมงาน คือนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมงานโดยรถยนต์ได้ ขณะที่ประเทศเวียดนามก็แจ้งมาว่า จะเดินทางเข้ามาร่วมงานโดยผ่านทาง สปป.ลาว เข้ามายังด่านชายแดนประเทศไทย
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยว กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ที่เดินทางโดยรถยนต์ผ่านด่านชายแดนของประเทศต่อปีรวมประมาณ 25 ล้านคน ตั้งเป้าภายใน 7 ปีจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือ 50 ล้านคน เพราะการตัดถนน เพิ่มเส้นทางคมนาคม ระหว่างประเทศให้มีการเดินทางได้สะดวกขึ้น จะช่วยให้การเดินทางระหว่างประเทศทางบกในแถบชายแดนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น เส้นทาง R3A จากประเทศไทยไปประเทศจีนซึ่งขณะนี้เส้นพร้อมเปิดให้บริการแล้ว
โดยคาดว่าจากนี้ไปจะมีการลงทุนของภาคเอกชนในส่วนของ โรงแรม ร้านอาหาร ตลอดเส้นทางการเดินทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเดินทาง ขณะนี้ สัดส่วนนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าประเทศ 80% มาทางอากาศ อีกเกือบ 20% มาทางบก ที่เหลือก็เป็นทางน้ำ ซึ่งมีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งกระทรวงฯจะใช้งานนี้เป็นโครงการนำร่อง ของการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถยนต์ เชื่อโยงกันในระหว่างภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมกันทั่วโลก
นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้จัดสรรงบประมาณ 5-6 ล้านบาท มอบให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ที่มีเขตติดต่อชายแดน ได้ใช้จัดงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือ เคานท์ดาวน์ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.51 โดยจะจัดงานในพื้นที่ 20 จุดผ่านชายแดนประเทศไทย(ด่าน) แบ่งเป็น 17 ด่าน ที่เป็นสากล เช่น ด่านแม่สาย จ.เชียงราย ติดต่อ อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศ พม่า , ด่าน มุกดาหาร ติดต่อ สะหวันนะเขต ประเทศ สปป.ลาว, ด่าน จ.ตาก ติดต่อเมือง เมียวดี ประเทศพม่า และ ด่านสะเดา ติดต่อประเทศมาเลเซียเป็นต้น และอีก 3 ด่าน ที่ไม่ใช่ด่านสากล
ทั้งนี้ถือเป็นปีแรก ที่กระทรวงฯได้มีการจัดงาน เคานท์ดาวน์ในพื้นที่จุดผ่านแดนโดยตั้งเป้าว่าจะจัด 2 ปี ซ้อน คือ ปีนี้และปีหน้า เพื่อเป็นการเปิดปี VISIT GMS YEAR เนื่องจากในปี 2553 จะมีการเปิดเสรีการค้าและบริการ ร่วมถึงฟรีวีซ่า ในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ตามกรอบเสรีอาเซียน
สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในคืนวันเคานท์ดาวน์จะเน้นเรื่องของการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทยและประเทศเพื่อบ้านตามด่านชายแดนต่างๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมรื่นเริงอื่นๆ การแข่งขันกีฬาและแรลลี่รถยนต์ กลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าชมงาน คือนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมงานโดยรถยนต์ได้ ขณะที่ประเทศเวียดนามก็แจ้งมาว่า จะเดินทางเข้ามาร่วมงานโดยผ่านทาง สปป.ลาว เข้ามายังด่านชายแดนประเทศไทย
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยว กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ที่เดินทางโดยรถยนต์ผ่านด่านชายแดนของประเทศต่อปีรวมประมาณ 25 ล้านคน ตั้งเป้าภายใน 7 ปีจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือ 50 ล้านคน เพราะการตัดถนน เพิ่มเส้นทางคมนาคม ระหว่างประเทศให้มีการเดินทางได้สะดวกขึ้น จะช่วยให้การเดินทางระหว่างประเทศทางบกในแถบชายแดนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น เส้นทาง R3A จากประเทศไทยไปประเทศจีนซึ่งขณะนี้เส้นพร้อมเปิดให้บริการแล้ว
โดยคาดว่าจากนี้ไปจะมีการลงทุนของภาคเอกชนในส่วนของ โรงแรม ร้านอาหาร ตลอดเส้นทางการเดินทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเดินทาง ขณะนี้ สัดส่วนนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าประเทศ 80% มาทางอากาศ อีกเกือบ 20% มาทางบก ที่เหลือก็เป็นทางน้ำ ซึ่งมีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งกระทรวงฯจะใช้งานนี้เป็นโครงการนำร่อง ของการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถยนต์ เชื่อโยงกันในระหว่างภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมกันทั่วโลก