ภาพผู้บัญชาการเหล่าทัพตบเท้าเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า กองทัพเข้ามามีอิทธิพลครอบงำมากน้อยแค่ไหน
ขณะเดียวกันก็เป็นคำตอบได้ทันทีเช่นกันว่า พล.อ.ประวิตร น่าจะเป็นเสาหลัก และเป็นอีกหนึ่ง “ศูนย์อำนาจ”ในกองทัพซ้อนขึ้นมาในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่
เพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็ปรากฏว่ามีการลงนามในคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งถูกนำไปแขวนเอาไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรีกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ตามเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.51 ชนิดที่เรียกว่าทันควัน
ที่น่าสังเกตก็คือ เป็นการลงนามคำสั่งโดย อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี คือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล แทนที่จะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะยังติดในแง่ของกฎหมายที่ นายอภิสิทธิ์ ยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ฯ ยังไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มตัวก็เป็นได้ อีกทั้งคำสั่งที่ให้ พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาทำหน้าที่ตามเดิมก็ถือว่าไม่ใช่เป็นการโยกย้าย เนื่องจากถือว่ายังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ เพียงแต่มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯเท่านั้น
แต่ประเด็นสำคัญก็คือมันมี “นัย” ทางการเมืองบางอย่างผ่านทาง “ขุมอำนาจใหม่” ที่ย้ายจากฝ่ายการเมืองมาที่ “กองทัพ” หรือไม่
ที่ผ่านมามีเสียงวิจารณ์กันหนาหูว่า แรงผลักดันที่ทำให้เกิดการ “ย้ายขั้ว” กันเป็นที่โกลาหลในครั้งนี้มีระดับ “บิ๊กสีเขียว” ทั้ง “3 ป.” เป็นกลไกสำคัญ นั่นคือ ป.ประวิตร ป.ป็อก (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และ ป.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นหลัก
และก่อนหน้านี้ถ้าจะจับท่าทีก็จะเห็นว่าฝ่ายประชาธิปัตย์ดูจะให้เกียรติ ป.ประวิตร ค่อนข้างสูง เพราะแม้แต่ระดับ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังต้องหอบกุหลาบแดงช่อใหญ่ไปเชื้อเชิญถึงบ้านให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกันเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่ต้องไปขอร้องให้มานั่งเก้าอี้
ดังนั้น ถ้าพิจารณากันแบบไม่มีที่มาที่ไปแล้วถือว่า “ประวิตร” คนนี้ไม่ธรรมดา แต่ถ้าใครก็ก็ตามรู้ “แบ็กกราวด์” ก็ย่อมรู้ดีว่า “บารมี” ในวงการสีเขียวคนนี้ถือว่า “ของจริง”
ถ้าเช็กสายสัมพันธ์กันแล้วจะพบว่า กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก รวมไปถึง พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ก็ล้วนผูกพันกันมาแบบ “ลูกโซ่” ส่งเสริมกันมาเป็นนาย เป็นลูกน้องตั้งแต่สมัยเป็น “นักรบตะวันออก” เติบโตมาจากราบ 21 “ทหารเสือราชินี” มาด้วยกัน
ดังนั้นอีกแง่มุมหนึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว การเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของ พล.อ.ประวิตรก็ย่อมเป็นหลักประกันให้กับ พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ และ พล.ท.คณิต ได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยไม่ต้องหวาดผวากับฝ่ายการเมือง ที่จ้องเข้ามารื้อ มาปลด อยู่ตลอดเวลาเหมือนในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน
อีกด้านหนึ่งถ้ามองในมุมของรัฐบาลก็จะได้ทุ่มเทแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่จะรุมเร้าเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ต่างคนต่างไม่ก้าวก่าย
แต่ปัญหาก็คือว่าจะล้างภาพกองทัพเข้ามามีอิทธิพลครอบงำได้มากน้อยแค่ไหน นี่ถือคำถามที่สังคมกังขา !!
ขณะเดียวกันก็เป็นคำตอบได้ทันทีเช่นกันว่า พล.อ.ประวิตร น่าจะเป็นเสาหลัก และเป็นอีกหนึ่ง “ศูนย์อำนาจ”ในกองทัพซ้อนขึ้นมาในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่
เพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็ปรากฏว่ามีการลงนามในคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งถูกนำไปแขวนเอาไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรีกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ตามเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.51 ชนิดที่เรียกว่าทันควัน
ที่น่าสังเกตก็คือ เป็นการลงนามคำสั่งโดย อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี คือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล แทนที่จะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะยังติดในแง่ของกฎหมายที่ นายอภิสิทธิ์ ยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ฯ ยังไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มตัวก็เป็นได้ อีกทั้งคำสั่งที่ให้ พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาทำหน้าที่ตามเดิมก็ถือว่าไม่ใช่เป็นการโยกย้าย เนื่องจากถือว่ายังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ เพียงแต่มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯเท่านั้น
แต่ประเด็นสำคัญก็คือมันมี “นัย” ทางการเมืองบางอย่างผ่านทาง “ขุมอำนาจใหม่” ที่ย้ายจากฝ่ายการเมืองมาที่ “กองทัพ” หรือไม่
ที่ผ่านมามีเสียงวิจารณ์กันหนาหูว่า แรงผลักดันที่ทำให้เกิดการ “ย้ายขั้ว” กันเป็นที่โกลาหลในครั้งนี้มีระดับ “บิ๊กสีเขียว” ทั้ง “3 ป.” เป็นกลไกสำคัญ นั่นคือ ป.ประวิตร ป.ป็อก (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และ ป.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นหลัก
และก่อนหน้านี้ถ้าจะจับท่าทีก็จะเห็นว่าฝ่ายประชาธิปัตย์ดูจะให้เกียรติ ป.ประวิตร ค่อนข้างสูง เพราะแม้แต่ระดับ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังต้องหอบกุหลาบแดงช่อใหญ่ไปเชื้อเชิญถึงบ้านให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกันเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่ต้องไปขอร้องให้มานั่งเก้าอี้
ดังนั้น ถ้าพิจารณากันแบบไม่มีที่มาที่ไปแล้วถือว่า “ประวิตร” คนนี้ไม่ธรรมดา แต่ถ้าใครก็ก็ตามรู้ “แบ็กกราวด์” ก็ย่อมรู้ดีว่า “บารมี” ในวงการสีเขียวคนนี้ถือว่า “ของจริง”
ถ้าเช็กสายสัมพันธ์กันแล้วจะพบว่า กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก รวมไปถึง พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ก็ล้วนผูกพันกันมาแบบ “ลูกโซ่” ส่งเสริมกันมาเป็นนาย เป็นลูกน้องตั้งแต่สมัยเป็น “นักรบตะวันออก” เติบโตมาจากราบ 21 “ทหารเสือราชินี” มาด้วยกัน
ดังนั้นอีกแง่มุมหนึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว การเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของ พล.อ.ประวิตรก็ย่อมเป็นหลักประกันให้กับ พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ และ พล.ท.คณิต ได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยไม่ต้องหวาดผวากับฝ่ายการเมือง ที่จ้องเข้ามารื้อ มาปลด อยู่ตลอดเวลาเหมือนในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน
อีกด้านหนึ่งถ้ามองในมุมของรัฐบาลก็จะได้ทุ่มเทแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่จะรุมเร้าเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ต่างคนต่างไม่ก้าวก่าย
แต่ปัญหาก็คือว่าจะล้างภาพกองทัพเข้ามามีอิทธิพลครอบงำได้มากน้อยแค่ไหน นี่ถือคำถามที่สังคมกังขา !!