ปฏิเสธไม่ได้ว่าโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นอกจากที่แทบทุกสายตาเพ่งมองไปที่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว อีกตำแหน่งที่ต้องโฟกัสกันเป็นพิเศษพร้อมกันไปด้วย ก็น่าจะหนีไม่พ้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ยิ่งในสถานการณ์ “ไม่ปกติ” แบบนี้ ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญ
ก่อนที่จะไปถึงตัวบุคคลที่วางตัวสำหรับภารกิจเฉพาะในครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์และความรู้สึกของบรรดา “ขาใหญ่” ในกองทัพทั้งหลาย ทั้งบก เรือ อากาศ ไม่เว้นแม้แต่เก้าอี้ในกองบัญชาการกองทัพไทย รวมไปถึงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่อยู่ในภาวะ “อึดอัด” กันมาตลอดนับตั้งแต่พรรคพลังประชาชนกลับเข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล
แม้ว่าในช่วงแรกๆในยุค “สมัคร สุนทรเวช” เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วควบเก้าอี้กลาโหม ดูภายนอกความสัมพันธ์กับผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะกับผู้นำ “แกนหลัก” ในกองบัญชาการกองทัพบกอย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถ้าดูจากภายนอกแล้วอาจจะ “แฮปปี้” แต่ถ้าสังเกตลงลึกในรายละเอียดแล้วรับรองจะออกมาในลักษณะ “ไม่ชัวร์” หรือไม่วางใจได้เต็มร้อย
เพราะในความเป็นจริงแม้แต่หัวขบวนตั้งแต่ สมัคร ลงมาล้วนเป็นหุ่นเชิดต้องทำตามใบสั่ง “นายเหลี่ยม” แทบทุกเรื่องของแบบนี้เป็นใครก็ต้องเสียว
ถัดมาคล้อยหลังในถึงยุค “น้องเขย” ที่ดันมาควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีก ก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะระยะหลังเมื่อสถานการณ์พุ่งขึ้นมาจนถึงขีดสุด หนักข้อถึงขั้นขู่ปลดกันรายวัน
ของแบบนี้เมื่อได้โอกาสก็ต้องรีบ “สลัด” คราบความเป็นเบี้ยล่างทิ้งไปให้เร็วที่สุด และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ถูกกล่าวหาว่าการ “สลับขั้ว” มีรายการ “คุณขอมา”
แต่ขณะเดียวกันไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่ไม่ว่าจะเขย่ากันกี่รอบ โผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ออกมาเป็นชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทุกที เกาะติดเก้าอี้มาตั้งแต่ต้น ไม่เคยเปลี่ยน
อย่างไรก็ดีมีสิ่งที่น่าพิจารณาในรายละเอียดบ้างก็เห็นจะเป็นท่าทีล่าสุดของ ปลัดกระทรวงกลาโหม คือ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ที่ออกมาทะลุกลางปล้องไม่ต้องการให้นายกฯควบกลาโหมเหมือนกับในยุค “สมัคร-สมชาย” ในยุคที่ผ่านมา
แถมยังสำทับแบบไม่เกรงใจอีกว่า การที่นายกฯมานั่งควบเก้าอี้ทำเหมือนกับว่าต้องการนั่งคาเอาไว้เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายกองทัพเคลื่อนไหว ที่สำคัญทำเหมือนไม่ให้เกียรติกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามล่าสุดโผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ชื่อก็ยังล็อกเอาไว้ที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เหมือนเดิม แถมยังคอนเฟิร์มจาก “ผู้จัดการรัฐบาล” คนใหม่ อย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนยันถึงความเหมาะสม
ดังนั้นถ้าพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ และหากโผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาตามนี้จริง ถือว่าหาทางออกให้กับทั้งสองฝ่าย นั่นคือฝ่ายกองทัพจะได้ “คนกันเอง” มาดูแล ไม่ต้องห่วงหน้าพวงหลังเหมือนยุครัฐบาล “หุ่นเชิด” ระบอบทักษิณครองเมือง
วางใจได้ไปเปลาะหนึ่ง โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถือว่าน่าจะถอนหายใจโล่งอกได้จริงๆเสียที
ขณะที่ฝ่ายภาคการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่า ไม่เสียหายอะไร เพราะในสถานการณ์แบบนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องไปนั่งคุมกองทัพให้เกิดความระแวงโดยไม่จำเป็น และใช้เวลาในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มาทุ่มเทแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และการเมืองที่กำลังรุมเร้าดีกว่า
เพราะไม่ว่าจะประเมินในมุมไหนรับรองว่ากองทัพไม่กล้าขยับกดดันฝ่ายการเมืองมากไปกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่อง “เอ็กเซอร์ไซด์” เคลื่อนกำลัง นั้นเลิกคิดไปได้เลย หลังจากเข็ดขี้อ่อนขี้แก่จากกรณี คมช. เป็นตัวอย่าง สร้างผลงานการรัฐประหารได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
ดังนั้นถ้าให้สรุปนาทีนี้ในช่วงที่ระหว่างรอจัดโผคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็ขอประเมินสถาการณ์แยกโฟกัสไปที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคั่นเวลาไปพลางๆก่อน ซึ่งถ้าไม่มั่วนิ่มก็ต้อง “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ของจริง
ยิ่งในสถานการณ์ “ไม่ปกติ” แบบนี้ ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญ
ก่อนที่จะไปถึงตัวบุคคลที่วางตัวสำหรับภารกิจเฉพาะในครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์และความรู้สึกของบรรดา “ขาใหญ่” ในกองทัพทั้งหลาย ทั้งบก เรือ อากาศ ไม่เว้นแม้แต่เก้าอี้ในกองบัญชาการกองทัพไทย รวมไปถึงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่อยู่ในภาวะ “อึดอัด” กันมาตลอดนับตั้งแต่พรรคพลังประชาชนกลับเข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล
แม้ว่าในช่วงแรกๆในยุค “สมัคร สุนทรเวช” เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วควบเก้าอี้กลาโหม ดูภายนอกความสัมพันธ์กับผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะกับผู้นำ “แกนหลัก” ในกองบัญชาการกองทัพบกอย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถ้าดูจากภายนอกแล้วอาจจะ “แฮปปี้” แต่ถ้าสังเกตลงลึกในรายละเอียดแล้วรับรองจะออกมาในลักษณะ “ไม่ชัวร์” หรือไม่วางใจได้เต็มร้อย
เพราะในความเป็นจริงแม้แต่หัวขบวนตั้งแต่ สมัคร ลงมาล้วนเป็นหุ่นเชิดต้องทำตามใบสั่ง “นายเหลี่ยม” แทบทุกเรื่องของแบบนี้เป็นใครก็ต้องเสียว
ถัดมาคล้อยหลังในถึงยุค “น้องเขย” ที่ดันมาควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีก ก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะระยะหลังเมื่อสถานการณ์พุ่งขึ้นมาจนถึงขีดสุด หนักข้อถึงขั้นขู่ปลดกันรายวัน
ของแบบนี้เมื่อได้โอกาสก็ต้องรีบ “สลัด” คราบความเป็นเบี้ยล่างทิ้งไปให้เร็วที่สุด และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ถูกกล่าวหาว่าการ “สลับขั้ว” มีรายการ “คุณขอมา”
แต่ขณะเดียวกันไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่ไม่ว่าจะเขย่ากันกี่รอบ โผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ออกมาเป็นชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทุกที เกาะติดเก้าอี้มาตั้งแต่ต้น ไม่เคยเปลี่ยน
อย่างไรก็ดีมีสิ่งที่น่าพิจารณาในรายละเอียดบ้างก็เห็นจะเป็นท่าทีล่าสุดของ ปลัดกระทรวงกลาโหม คือ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ที่ออกมาทะลุกลางปล้องไม่ต้องการให้นายกฯควบกลาโหมเหมือนกับในยุค “สมัคร-สมชาย” ในยุคที่ผ่านมา
แถมยังสำทับแบบไม่เกรงใจอีกว่า การที่นายกฯมานั่งควบเก้าอี้ทำเหมือนกับว่าต้องการนั่งคาเอาไว้เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายกองทัพเคลื่อนไหว ที่สำคัญทำเหมือนไม่ให้เกียรติกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามล่าสุดโผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ชื่อก็ยังล็อกเอาไว้ที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เหมือนเดิม แถมยังคอนเฟิร์มจาก “ผู้จัดการรัฐบาล” คนใหม่ อย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนยันถึงความเหมาะสม
ดังนั้นถ้าพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ และหากโผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาตามนี้จริง ถือว่าหาทางออกให้กับทั้งสองฝ่าย นั่นคือฝ่ายกองทัพจะได้ “คนกันเอง” มาดูแล ไม่ต้องห่วงหน้าพวงหลังเหมือนยุครัฐบาล “หุ่นเชิด” ระบอบทักษิณครองเมือง
วางใจได้ไปเปลาะหนึ่ง โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถือว่าน่าจะถอนหายใจโล่งอกได้จริงๆเสียที
ขณะที่ฝ่ายภาคการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่า ไม่เสียหายอะไร เพราะในสถานการณ์แบบนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องไปนั่งคุมกองทัพให้เกิดความระแวงโดยไม่จำเป็น และใช้เวลาในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มาทุ่มเทแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และการเมืองที่กำลังรุมเร้าดีกว่า
เพราะไม่ว่าจะประเมินในมุมไหนรับรองว่ากองทัพไม่กล้าขยับกดดันฝ่ายการเมืองมากไปกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่อง “เอ็กเซอร์ไซด์” เคลื่อนกำลัง นั้นเลิกคิดไปได้เลย หลังจากเข็ดขี้อ่อนขี้แก่จากกรณี คมช. เป็นตัวอย่าง สร้างผลงานการรัฐประหารได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
ดังนั้นถ้าให้สรุปนาทีนี้ในช่วงที่ระหว่างรอจัดโผคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็ขอประเมินสถาการณ์แยกโฟกัสไปที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคั่นเวลาไปพลางๆก่อน ซึ่งถ้าไม่มั่วนิ่มก็ต้อง “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ของจริง