xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการห่วงจีดีพีปีหน้าร่วง จี้มาร์คตั้งมือดีคุมทีมเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิชาการ เผย ระบบเศรษฐกิจ ไทย ปี 52 โตเพียง1-2 % ขณะที่ “มาร์ค” จัดตั้งรัฐบาล ต้องเน้นหนักที่ตัวบุคคล ด้านเศรษฐกิจ-คลัง-พานิชย์ วอน อย่าเลือกที่โควต้า ควรเลือกที่ความเหมาะสม เน้นย้ำต้องมีธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (GSPA NIDA) จัดเสวนาเรื่อง วิเคราะห์เศรษฐกิจ การเมืองปี 52 : แนวโน้มและการรับมือ โดยมี นาย ปกรณ์ ปรียากร คณบดี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ และ นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดี ฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์

นายมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจการส่งออกของประเทศไทยในปี 2552 จะไม่เกิน 5 % เนื่องจากการส่งออกของประเทศไทยต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ สหรัฐอเมริกา ประเทศทางยุโรป และและเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสามกลุ่มประเทศที่กล่าวมาล้วนล้วนได้รับผลกระทบทางเหศรษฐกิจทุกประเทศ จึงทำให้มีการชลอการสั่งสิ้นค้าจากประเทศไทย โดยเฉแพาะสินค้าที่เป็นประเภทสิ่งของฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องประดับ อัญมนี

จึงทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับช่องทางธุรกิจผู้ส่งออก ได้รับผลกระทบ ส่วนภาคธุรกิจการโรงแรม ที่มีพนักงานภาคแรงงานก็ต้องตกงานมากขึ้น ซึ่งหากการส่งออกของประเทศลดลง 1 % จะทำเกิดภาวะการถึง 40,000 คน ขณะที่เศรษฐกิจรวมของโลก เติบโตเพียง 1.5 % ซึ่งลดลงชัดเจนมาก อย่างไรก็ตามในประเทศจีนมีการเติบโตถึง 8.5-9 % และประเทศ อินเดียเติบโตสูงถึง 6.2 % เป็นกลุ่มประเทศที่ไม่ไดรับผลกระทบในภาวะเศรษฐกิจ

นายมนตรี กล่าวอีกว่า ในภาวะที่คนตกงานมีถึง 40,000 คน ขณะที่ทุกปี ก็จะมีคนจบใหม่ถึง 40,000 คนเช่นกัน ซึ่งผลที่ได้รับจะทำให้คนจบใหม่ไม่มีงานทำ มีคนตกงานมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทย ประสบปัญหาทางการเมือง แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี เศรษฐกิจจะเติบโต แต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ที่เป็น 3 เดือนสุดท้ายของปีจะเป็นช่วงที่ประเทศไทยเรามีภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจดีที่สุด แต่เนื่องจากในปีนี้เราประสบปัญหาทางการเมืองอย่างหนัก มีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ จึงทำให้การท่องเที่ยว และงานด้านบริการ รัฐบาล ภาคแรงงาน ได้รับผลกระทบทั่วกัน ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการเยี่ยวยาการท่องเที่ยวเป็นเวลานาน จากผลที่เกิดขึ้นทำให้เศรษฐกิจ ต่างประเทศมีการชลอการสั่งสิ้นค้า ภาวะการลงทุนภายในประเทศ เกิดภาวะเสี่ยง ผู้ประกอบการก็จะไม่อยากลงทุนส่วนภาคประชาชน เมื่อเจอปัญหาทางด้านการเมือง ก็ทำให้เกิดการใช้จ่ายน้อยลง

นายมนตรี กล่าวถึงโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมีขึ้นมาว่า ขอให้รัฐบาลที่เข้ามาใหม่ ช่วยขับเคลื่อนผลประโยชน์ของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคประชาชน รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชน ที่จะเข้ามาลงทุน โดยรัฐบาลมีเครื่องมือที่จะช่วยคือ งบของแผ่นดิน ของปี 2552 ที่สร้างงบเกินดุลไว้ถึง 3,490,000 ล้านบาท ที่จะเป็นอาวุธสำคัญในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นรัฐบาลจะต้องวางแผน ตัวบุคคลาการที่จะเข้ามาบริหาร รวมทั้งกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อให้งบประมาณกระจายไปให้ทั่วถึงทุกภาคส่วน รัฐบาลจะต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างความแน่นอนชัดเจนในระบบบริหาร ต้องออกมาใช้ในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน หรือ 9 เดือน ต้องตั้งกองทุน ในระบบราชการให้ชัดเจน

ดังนั้นรัฐมนตรี บุคลากร ที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ต้องเป็นบุคคลรุ่นใหม่ ที่เข้าใจในระบบ ทางด้านการบริหารงาน เรื่องตราสารเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือเรื่องตลาดทุน ต้องเข้าในระบบเศรษฐกิจ เป็นอย่างดี

“ในสัปดาห์หน้ารัฐบาลใหม่จะปรากฏชัดมากขึ้น สิ่งสำคัญจะอยู่ที่นโยบาย แม้ว่าจะเข้ามาบริหารประเทศ อย่างเต็มที่ ก็ไม่ช่วยไม่ได้มากนัก อาจด้วยเงื่อนไข ปัจจัย ความเชื่อมั่น เราต้องพึ่งพาต่างประเทศเยอะ ดังนั้นในปีหน้าระบบเศรษฐกิจ จึงโตไม่น่าเกิน 1-2 % เกิดภาวะการจ้างงานน้อยลง ว่างงานมากขึ้น จนในที่สุดจะเกิดภาวะการตกงานถึง 1-1.2 ล้านคน ในปีหน้า” นายมนตรี กล่าว

ด้านนาย ปกรณ์ กล่าวเสริมว่า รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 จะต้องมีความแหลมคม และฉลาดในการจัดตั้งรัฐบาลที่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของตัวบุคคล มากกว่าคำนึงถึงโควต้าพรรคการเมืองที่เคยมีมาตามประวัติศาสตร์การเมืองไทย จากปัญหาการเมืองไทยที่เกินขึ้นทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจมมากที่สุด ดังนั้นนายกฯคนใหม่จะต้องเข้ามาดูแลงานด้านกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม จำเป็นจะต้องผนวกรวมจัดสร้างรัฐบาลให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งการทำงานภาคเกษตร จะช่วยลดภาวะการว่างงานลงได้

“จากปัญหาความวุ่นวายภายในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมพาณิชย์ ลดระดับความน่าเชื่อถือในต่างประเทศลง ดังนั้นรัฐบาลใหม่ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้ที่เหมาะสม การเข้ามาทำงานในสภาวะที่เกิดความขัดแย้งทางสังคม กลุ่มผลประโยชน์ ต้องพบกับความแตกแยกของคนในสังคม จนนำไปสู่ความรุนแรง รัฐมนตรีคนใหม่จึงต้องสร้างความชื่อมั่น ทั้งในประเทศ และนอกประเทศ” นายปกรณ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น