กล้องไลก้าวางแผนเดินเกมตลาดเชิงรุกในไทย หวังลุยตลาดกล้องดิจิตอลเต็มตัว มั่นใจปีหน้าโต 35% พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายสู่กลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น
นายซูนิ คอล ผู้อำนวยการประจำภาคพื้นเอเซียแปซิฟิก บริษัท ไลก้า คาเมร่า เอจี เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯวางแผนการทำตลาดสำหรับกล้องไลก้าในเมืองไทยเชิงรุกมากขึ้น หลังจากที่บริษัทแม่ที่เยอรมันมีการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ โดยเป็นเจ้าของรายใหญ่รายเดียวถือหุ้นกว่า 97% และบริษัทแม่ที่เยอรมันจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ซึ่งแผนการตลาดจะมีทั้งการจัดโรดโชว์กิจกรรม การจัดเวิร์กชอป การเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ต่อเนื่อง โดยวางงบการตลาดไว้ที่ 5% ของยอดขายรวมไลก้า
โดยหลังจากวางแผนเชิงรุกแล้วในปีหน้า (ปีงบประมาณเริ่ม เดือนเมษายน 2552 - มีนาคม 2553) ตั้งเป้ามียอดการขายเติบโตที่ 35% ส่วนในปีนี้ที่จะหมดปีงบประมาณในเดือนมีนาคม 2552 นี้คาดว่าจะเติบโต 25% จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวมประมาณ 40 ล้านบาท
บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดช่องทางจำหน่ายที่เป็นแบบดีลเลอร์เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะเหมือนที่ทำในต่างประเทศ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำยากพอสมควร อย่างไรก็ตาม คาดว่าในเร็วๆนี้อาจจะได้เห็นบ้าง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีดีลเลอร์จำนวน 7 ราย โดยมีชอปที่จำหน่ายกล้องไลก้ารวมกัน 15 แห่ง
การทำตลาดในไทยที่ผ่านมาจะเน้นการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ ผู้ใช้กล้องระดับไฮเอนด์ที่นิยมแบรนด์ไลก้าอยู่แล้วและกลุ่มช่างภาพมืออาชีพ นับจากปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า จะขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่กลุ่มคอนซูเมอร์ด้วยกล้องคุณภาพ ราคาน่าสนใจ พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมเชิงรุกมากขึ้นด้วย รวมถึงการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ การทำซีอาร์เอ็ม ซึ่งขณะนี้มีรายชื่อฐานลูกค้า 500รายแล้ว
ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่พร้อมกัน 3 รุ่นคือ M8.2 และกล้องคอมแพ็ค รุ่น D-Lux-4 และ C-Lux-3 ซึ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ผู้ใช้ระดับมือโปรลงไปถึงมือสมัครเล่น ราคาต่ำสุดเริ่มต้นที่ 26,900 บาท ซึ่งกล้องคอมแพ็คมีสัดส่วนยอดขายกว่า 30% จากยอดขายรวม ส่วนปีหน้ามีแผนจะเปิดตัวกล้องรุ่น S2 สำหรับช่างภาพมืออาชีพด้วย รวมทั้งเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ความละเอียดสูงรุ่นประหยัดพลังงาน
นายแจกกี้ ชาน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ชมิดท์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้จัดจำหน่ายกล้องไลก้าในไทย กล่าวว่า ตลาดกล้องดิจิตอลไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลงบ้างก็ตามแต่กล้องดิจิตอลได้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่จะเป็นของใช้ในชีวิตประชำวันไปแล้ว ประกอบกับแบรนด์ไลก้าเป็นที่รู้จักและยอมรับดีอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะทำตลาด ส่วนช่องทางจำหน่ายจะให้ความสำคัญกับโมเดิร์นเทรดมากขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกว้างขึ้น
นายซูนิ คอล ผู้อำนวยการประจำภาคพื้นเอเซียแปซิฟิก บริษัท ไลก้า คาเมร่า เอจี เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯวางแผนการทำตลาดสำหรับกล้องไลก้าในเมืองไทยเชิงรุกมากขึ้น หลังจากที่บริษัทแม่ที่เยอรมันมีการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ โดยเป็นเจ้าของรายใหญ่รายเดียวถือหุ้นกว่า 97% และบริษัทแม่ที่เยอรมันจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ซึ่งแผนการตลาดจะมีทั้งการจัดโรดโชว์กิจกรรม การจัดเวิร์กชอป การเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ต่อเนื่อง โดยวางงบการตลาดไว้ที่ 5% ของยอดขายรวมไลก้า
โดยหลังจากวางแผนเชิงรุกแล้วในปีหน้า (ปีงบประมาณเริ่ม เดือนเมษายน 2552 - มีนาคม 2553) ตั้งเป้ามียอดการขายเติบโตที่ 35% ส่วนในปีนี้ที่จะหมดปีงบประมาณในเดือนมีนาคม 2552 นี้คาดว่าจะเติบโต 25% จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวมประมาณ 40 ล้านบาท
บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดช่องทางจำหน่ายที่เป็นแบบดีลเลอร์เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะเหมือนที่ทำในต่างประเทศ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำยากพอสมควร อย่างไรก็ตาม คาดว่าในเร็วๆนี้อาจจะได้เห็นบ้าง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีดีลเลอร์จำนวน 7 ราย โดยมีชอปที่จำหน่ายกล้องไลก้ารวมกัน 15 แห่ง
การทำตลาดในไทยที่ผ่านมาจะเน้นการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ ผู้ใช้กล้องระดับไฮเอนด์ที่นิยมแบรนด์ไลก้าอยู่แล้วและกลุ่มช่างภาพมืออาชีพ นับจากปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า จะขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่กลุ่มคอนซูเมอร์ด้วยกล้องคุณภาพ ราคาน่าสนใจ พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมเชิงรุกมากขึ้นด้วย รวมถึงการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ การทำซีอาร์เอ็ม ซึ่งขณะนี้มีรายชื่อฐานลูกค้า 500รายแล้ว
ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่พร้อมกัน 3 รุ่นคือ M8.2 และกล้องคอมแพ็ค รุ่น D-Lux-4 และ C-Lux-3 ซึ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ผู้ใช้ระดับมือโปรลงไปถึงมือสมัครเล่น ราคาต่ำสุดเริ่มต้นที่ 26,900 บาท ซึ่งกล้องคอมแพ็คมีสัดส่วนยอดขายกว่า 30% จากยอดขายรวม ส่วนปีหน้ามีแผนจะเปิดตัวกล้องรุ่น S2 สำหรับช่างภาพมืออาชีพด้วย รวมทั้งเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ความละเอียดสูงรุ่นประหยัดพลังงาน
นายแจกกี้ ชาน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ชมิดท์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้จัดจำหน่ายกล้องไลก้าในไทย กล่าวว่า ตลาดกล้องดิจิตอลไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลงบ้างก็ตามแต่กล้องดิจิตอลได้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่จะเป็นของใช้ในชีวิตประชำวันไปแล้ว ประกอบกับแบรนด์ไลก้าเป็นที่รู้จักและยอมรับดีอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะทำตลาด ส่วนช่องทางจำหน่ายจะให้ความสำคัญกับโมเดิร์นเทรดมากขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกว้างขึ้น