ASTVผู้จัดการรายวัน – กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจศึกชิงผู้ว่าฯ เมืองหลวง “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” ขึ้นนำเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนลูกหม่อมอุ๋ยหล่นไปอยู่ที่สอง “แซม” ยังตามอยู่อันดับสาม ผู้สมัครเข็นนโยบายขอคะแนนคนกรุงคึกคัก “สุขุมพันธุ์” เล็งแก้เบิกจ่ายงบฯ กทม.พลิกวิกฤติเศรษฐกิจ-ฟื้นเกษตรกรรม “แซม”ออกไอเดียไล่หาบเร่ขายของบนสะพานลอยผุดตลาดสดสี่มุมเมือง
วานนี้ (11 ธ.ค.) ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง“แนวโน้มการเลือกผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น1,465 คน เป็นเพศชายร้อยละ 43.1 และเพศหญิงร้อยละ 56.9 เมื่อวันที่ 8-10 ธันวาคม 2551 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 52.5 ไม่ทราบว่าวันที่ 11 ม.ค.52 เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 82.7 มีความตั้งใจออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 11 ร้อยละ 4.4 ไม่ไป โดยให้เหตุผลว่า เบื่อ ติดงานต่างจังหวัด และไม่มีคนที่ต้องการเลือกลงสมัคร โดยอีกร้อยละ 12.9 ยังไม่แน่ใจ
สำหรับบุคคลที่คน กทม.ตั้งใจเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ คนต่อไป อันดับหนึ่ง ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ร้อยละ 30.2 อันดับ 2 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้สมัครหมายเลข 8 ร้อยละ 17.2 อันดับ 3 นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครหมายเลข 10 ร้อยละ 7.7 โดยนายแก้วสรร อติโพธิ มาเป็นอันดับ 4 ร้อยละ 4.6 ทั้งนี้มีร้อยละ 33.3 ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร และร้อยละ 3.4 ที่ระบุว่าจะไปใช้สิทธิ์แต่จะไม่เลือกใคร
**สุขุมพันธุ์ชูนโยบายพลิกเศรษฐกิจ กทม.
วันเดียวกัน ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริบัตร ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พร้อมด้วยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะคณะกรรมการอำนวยการการเลือกตั้ง ปชป. เข้าร่วมประชุมงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UN) โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า การจัดประชุมสมัชชาสุขภาพเป็นการประชุมที่ดี ซึ่งจะได้แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หากนำมาปรับใช้กับแนวทางนโยบายด้านสาธารณสุขกับประชาชนในพื้นที่ กทม. ก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้และรับทราบแนวคิดเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะสมัชชาสุขภาพมีแนวคิดล้ำหน้า ในการให้บริการด้านสาธารณสุข ซึ่งสอดคล้องกับปัญหาปัจจุบันที่คนกทม.วิตกกังวลและมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า หากตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จะนำแนวนโยบายการส่งเสริมสุขภาพมาปรับใช้ เพื่อช่วยสร้างความสุขและความอบอุ่นให้คน กทม. มากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยพลิกฟื้นวิกฤติเศรษฐกิจของ กทม.ได้ คือ กทม. ควรเร่งแก้ไข เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วที่สุด และพิจารณาเรื่องการนำเงินคงคลังมาใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาและพลิกฟื้นด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ กทม. ควรจะร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และเครือข่ายองค์กรภาคเอกชนโดยการวางแผนจัดโรดโชว์ (Road Show) นิทรรศการนานาชาติ ดนตรี ศิลปวัฒนธรรม
ด้านนายอภิรักษ์กล่าวว่า ตนจะช่วยสร้างความมั่นใจเชิงนโยบายและสานความต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งจะดูแลทุกข์สุขของพี่น้องชาวกรุงเทพฯ เป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรกับภาพที่ชาวกรุงเทพฯ ติดภาพลักษณ์ของการเลือกพรรค มากกว่าตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ว่าใครจะวิเคราะห์ แต่คุณชายสุขุมพันธุ์ ก็ตั้งใจและมีนโยบายที่สำคัญที่จะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบแนวนโยบาย โดยเฉพาะงานสมัชชาสุขภาพฯนี้ มีเครือข่ายภาคประชาชนมาร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งผู้แทนของพรรคฯ ก็จะได้รับฟังปัญหาของประชาชน และนำมาแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านเศรษฐกิจ และความเครียดของ คน กทม.
ต่อข้อถามที่ว่า มีความมั่นใจที่ผู้สมัครของพรรคฯ จะได้สานต่อนโยบายผู้ว่าฯกทม. หรือไม่ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับประชาชน และผู้ที่จะออกมาใช้สิทธิว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพราะที่ผ่านมา ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ก็มีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่ออกมาใช้สิทธิโดยพร้อมเพียงกัน และอยากให้มองที่นโยบาย ความรู้ความสามารถ มากกว่าตัวบุคคล อย่างไรก็ตาม สำหรับ นโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก็จะมีการเปิดนโยบายเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ด้วย
**คุณชายทุ่มทุนค้างคืนหาเสียง
จากนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้ลงพื้นที่ที่โรงเรียนเกษตรทฤษฎีใหม่ เขตหนองจอก โดยพบปะประชาชน และชาวเกษตรกร พร้อมกล่าวว่า ตนจะพลิกฟื้นการเกษตรกรรมให้สามารถเป็นสินค้าที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่กทม.ให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรรมสร้างรายได้ให้กทม.ได้เพียง 0.15 % ขณะที่มีที่ทำเกษตรกรรม 23 % ทั้งนี้พื้นที่ที่ตนจะเน้นให้เป็นแหล่งเกษตรกรรมเต็มรูปแบบ และครบวงจรคือพื้นที่ตะวันออกของกทม. พร้อมส่งเสริมในเชิงตลาดโดยให้สินเชื่อกับเกษตรกร และขยายตลาดให้ส่งออกทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดภายใต้แบรนด์กรุงเทพฯกรีน
นอกจากนี้ ตนจะปรับปรุงโรงพยาบาลหนองจอก โดยให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยไม่ต่ำกว่า 20 เตียง เพื่อให้ชาวหนองจอก และเขตใกล้เคียงได้รับบริการอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ส่วนปัญหาเรื่องน้ำ อาทิ น้ำไม่เพียงพอต่อเกษตรกรรม น้ำท่วมนั้น ตนจะให้เจ้าหน้าที่ กทม.ศึกษา และวางแผนการแก้ไขระยะยาว ซึ่งจะทำเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยจะทำอย่างเป็นระบบ
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลกรุงเทพโพลล์ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้คะแนนนำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ตนขอเตือนนักวิชาการที่ทำโพลล์ด้วยว่า อย่าทำในลักษณะที่ชี้นำประชาชน และไม่ควรที่จะทำสำรวจในช่วงนี้ เพราะความคลาดเคลื่อนจะมีสูง ดังนั้นควรที่จะทำในช่วงที่ใกล้จะถึงวันลงคะแนนจะดีกว่า อย่างไรก็ตามตนก็ยังคงเดินหน้าหาเสียงตามแผนต่อไป
ส่วนที่มองว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อาจจะไม่ติดดินนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก้มลงที่เท้าตัวเองพร้อมกับตอบว่า “รองเท้าก็เต็มไปด้วยฝุ่นทุกวัน ไม่รู้จะติดดินอย่างไรแล้ว คืนนี้ผมก็จะไปนอนค้างบ้านชาวบ้านในเขตพื้นที่หนองจอก ให้เวลาชาวบ้านมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นความรู้ต่อกัน ถ้าจะให้ผมตกน้ำหรือปีนต้นไม้แล้วถึงจะติดดินผมก็ทำได้นะ”
**แก้วสรรขายฝันสร้างรถไฟฟ้าเหนือ-ใต้
นายแก้วสรร อติโพธิ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 12 ในนามกลุ่มกรุงเทพฯ ใหม่ พร้อมด้วยนายขวัญสรวง อติโพธิ และทีมงานลงพื้นที่หาเสียงบริเวณท่าเรือข้ามฟากไปสาทร โดยนายแก้วสรรได้ยืนแจกเอกสารแนะนำตัวบริเวณด้านหน้าสวนสาทรเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา
นายแก้วสรร กล่าวยืนยันว่า เดือนเมษายนปีหน้าส่วนต่อขยาย 2.2 กิโลเมตร ไปฝั่งธนฯ เปิดให้บริการแน่นอนไม่ว่าใครเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็ตาม และผู้ที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องช่วยทำให้การลงทุนที่ลงไปแล้วกว่าพันล้านบาท เกิดประโยชน์กับคน กทม.ไม่ใช่ต้องนั่งรถ ต่อเรือ หลายต่อกว่าจะถึงที่หมาย
ส่วนโครงการเดิมที่รัฐบาลวางแผน 10 สายนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมดเพราะติดปัญหาการเวนคืนชาวบ้าน ใช้ต้นทุนสูง โดยตนมีแผนจะสร้างรถไฟฟ้าแกนหลักคือสายเหนือสิ้นสุดที่รังสิต และสายใต้สิ้นสุดที่ตลิ่งชัน ซึ่งจะใช้เส้นทางตามแนวรางรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อไม่ต้องเวนคืนที่ดินชาวบ้านให้เป็นปัญหา
การคมนาคมขนส่งระบบรางในพื้นที่กรุงเทพฯควรเป็นหน้าที่ของ กทม.โดยงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 2 สายทางนี้นั้น ตนจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตร กทม. ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปกู้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิคหรือไจก้า) ขณะเดียวกันก็จะจัดให้มีรถไมโครบัสหรือรถสองแถวขนาดเล็กวิ่งรับส่งผู้โดยสารจากที่บ้าน ที่ทำงานถึงสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนซึ่งรถรับส่งที่ว่านี้กทม.จะเปิดให้มีการประมูลสัมปทานโดยผู้ประกอบการ 1 รายสามารถมีรถวิ่งได้ไม่เกิน 10 คัน
***ฟูมฟายกอดคอ "แอ๊ด เพื่อชีวิต"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแก้วสรรได้ส่งอีเมล์ไปยังสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในหัวข้อ “คุณสนธิ...คุณมีสิทธิอะไรมาทำลายความฝันของผม?” โดยหัวจดหมายระบุว่าเขียนวันที่ 11 ธันวาคม 2551 ที่บ้านคลองขวาง โดยเนื้อหาของจดหมายฉบับดังกล่าวได้ตัดพ้อต่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างว่านายสนธิให้ร้ายตนเอง สั่งการให้คนไปเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชักชวนไม่ให้พันธมิตรฯ เลือกตนเอง เนื่องจากตนมีนายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว อยู่ในทีมงาน พร้อมระบุด้วยว่านายสนธิทำลายความฝันของเขาที่ต้องการเข้ามารับใช้ประชาชนคนกรุงเทพ
**“แซม” ให้หาบเร่ขายของบนสะพานลอย
ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 10 พรรคเพื่อไทย(พท.) ลงพื้นที่หาเสียงตลาดยิ่งเจริญ ย่านสะพานใหม่ พร้อมแถลงนโยบายการพัฒนาตลาด ด้วยระบบการบริหารจัดการตลาดยุคใหม่ ว่า หากตนได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯกทม. ตนมีแนวคิดที่จะทำตลาดสด 4 มุมเมือง ตามจุดสำคัญของกทม. 4 แห่งที่ใหญ่ มีคุณภาพ สินค้าถูกสุขลักษณะ มีระบบการจัดการความสะอาดที่คำนึงสุขอนามัยให้กับผู้ค้า และผู้บริโภค โดยจะนำรูปแบบของตลาดสดยิ่งเจริญมาปรับใช้ นอกจากนั้นในฐานะพ่อเมือง กทม.จะเข้าไปตรวจคุณภาพของตลาดสดทั่วเมือง ทั้งตลาดสังกัด กทม. และตลาดของเอกชน
ส่วนผู้ค้าหาบเร่ที่มีปัญหาว่าขายในพื้นที่ที่ไม่ได้ประกาศให้เป็นจุดผ่อนผัน ตนจะปราบปราม และหาพื้นที่ขายแห่งใหม่ให้ เช่น บนสะพานลอยคนข้าม ที่มีพื้นที่กว้างพอที่จะตั้งแผงขายของได้ ซึ่งการเปิดขายบนสะพานลอยจะมีประโยชน์ คือ ผู้ค้ามีรายได้ และประชาชนกล้าที่จะใช้สะพานลอยข้ามถนนมากขึ้น ส่วนปัญหาตลาดโบ๊เบ๊ที่เป็นปัญหาอยู่นั้น ตนจะหาวิธีแก้ไขโดยการเจรจากับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อยุติที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าหลังจากที่นายยุรนันท์แถลงข่าวเสร็จ ได้เดินพบปะผู้ค้าและประชาชนที่จับจ่ายซื้อของ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก
ขณะที่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 สังกัดอิสระ เดินทางตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาที่มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง ซ.ปรีดีพนมยงค์ 36 เขตพระโขนง ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลเด็กพิเศษ เช่น เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม ออทิสติก สมาธิสั้น และมีปัญหาในการเรียนรู้
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ตนได้รับการติดต่อจากประธานสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิมแห่งประเทศไทย ที่เคยให้ลูกมาฝึกทักษะที่มูลนิธิแห่งนี้และรับรู้ถึงปัญหาในการบริหารจัดการของมูลนิธิฯ โดยมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง เป็นหนึ่งในศูนย์ที่ช่วยเหลือผู้ปกครองในการดูแลเด็กพิเศษ ตั้งแต่ชั้นเนอสเซอรี่-อายุ 20 กว่าปี โดยตนมีนโยบายที่จะจัดสรรงบประมาณมาพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กต่างๆ ที่ปัจจุบันน่าจะมีจำนวนมาก แต่แม้จะมีจำนวนเท่าใดตนก็เห็นว่าควรจะเพิ่มศูนย์ดูแลเด็กพิเศษให้มากขึ้น 2-3 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ นอกจากนี้อาจยกระดับมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง ให้เป็นศูนย์ฝึกบุคลากรในการดูแลเด็กพิเศษ เพื่อไปประจำตามโรงเรียนในสังกัด กทม. เบื้องต้นควรจัดให้เป็นโรงเรียนร่วม 10 แห่ง หรือจัดให้เป็นห้องเรียนพิเศษช่วยประหยัดงบประมาณได้ด้วย อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามผู้บริหารทราบว่ามูลนิธิมีปัญหาเรื่องรายได้ และงบประมาณในการบริหารจัดการ ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากการรับบริจาค ทั้งนี้ หากตนได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ตนจะพิจารณาเรื่องการนำศูนย์ดังกล่าวเข้าสังกัดของ กทม.
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตนเพื่อแจ้งปัญหาให้ทราบ นอกเหนือจากการไปเดินแนะนำตัว ส่วนใหญ่เรื่องที่ได้รับแจ้งคือเรื่องความสกปรก ปัญหาทางเท้าไม่เรียบ เป็นต้น ซึ่งต่อไปตนจะลงไปรับรู้ปัญหาจากที่ประชาชนแจ้งมา ส่วนแนวทางในการลงพื้นที่หาเสียงจะยังคงใช้วิธีหาเสียงแบบฉายเดี่ยวเหมือนเดิม ส่วนทีมงานนั้นยังไม่ขอเปิดเผยเช่นเดิม เพราะตนเชื่อว่าเมื่อชัยชนะมาทีมงานจึงค่อยเกิด.
วานนี้ (11 ธ.ค.) ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง“แนวโน้มการเลือกผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น1,465 คน เป็นเพศชายร้อยละ 43.1 และเพศหญิงร้อยละ 56.9 เมื่อวันที่ 8-10 ธันวาคม 2551 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 52.5 ไม่ทราบว่าวันที่ 11 ม.ค.52 เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 82.7 มีความตั้งใจออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 11 ร้อยละ 4.4 ไม่ไป โดยให้เหตุผลว่า เบื่อ ติดงานต่างจังหวัด และไม่มีคนที่ต้องการเลือกลงสมัคร โดยอีกร้อยละ 12.9 ยังไม่แน่ใจ
สำหรับบุคคลที่คน กทม.ตั้งใจเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ คนต่อไป อันดับหนึ่ง ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ร้อยละ 30.2 อันดับ 2 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้สมัครหมายเลข 8 ร้อยละ 17.2 อันดับ 3 นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครหมายเลข 10 ร้อยละ 7.7 โดยนายแก้วสรร อติโพธิ มาเป็นอันดับ 4 ร้อยละ 4.6 ทั้งนี้มีร้อยละ 33.3 ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร และร้อยละ 3.4 ที่ระบุว่าจะไปใช้สิทธิ์แต่จะไม่เลือกใคร
**สุขุมพันธุ์ชูนโยบายพลิกเศรษฐกิจ กทม.
วันเดียวกัน ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริบัตร ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พร้อมด้วยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะคณะกรรมการอำนวยการการเลือกตั้ง ปชป. เข้าร่วมประชุมงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UN) โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า การจัดประชุมสมัชชาสุขภาพเป็นการประชุมที่ดี ซึ่งจะได้แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หากนำมาปรับใช้กับแนวทางนโยบายด้านสาธารณสุขกับประชาชนในพื้นที่ กทม. ก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้และรับทราบแนวคิดเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะสมัชชาสุขภาพมีแนวคิดล้ำหน้า ในการให้บริการด้านสาธารณสุข ซึ่งสอดคล้องกับปัญหาปัจจุบันที่คนกทม.วิตกกังวลและมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า หากตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จะนำแนวนโยบายการส่งเสริมสุขภาพมาปรับใช้ เพื่อช่วยสร้างความสุขและความอบอุ่นให้คน กทม. มากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยพลิกฟื้นวิกฤติเศรษฐกิจของ กทม.ได้ คือ กทม. ควรเร่งแก้ไข เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วที่สุด และพิจารณาเรื่องการนำเงินคงคลังมาใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาและพลิกฟื้นด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ กทม. ควรจะร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และเครือข่ายองค์กรภาคเอกชนโดยการวางแผนจัดโรดโชว์ (Road Show) นิทรรศการนานาชาติ ดนตรี ศิลปวัฒนธรรม
ด้านนายอภิรักษ์กล่าวว่า ตนจะช่วยสร้างความมั่นใจเชิงนโยบายและสานความต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งจะดูแลทุกข์สุขของพี่น้องชาวกรุงเทพฯ เป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรกับภาพที่ชาวกรุงเทพฯ ติดภาพลักษณ์ของการเลือกพรรค มากกว่าตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ว่าใครจะวิเคราะห์ แต่คุณชายสุขุมพันธุ์ ก็ตั้งใจและมีนโยบายที่สำคัญที่จะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบแนวนโยบาย โดยเฉพาะงานสมัชชาสุขภาพฯนี้ มีเครือข่ายภาคประชาชนมาร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งผู้แทนของพรรคฯ ก็จะได้รับฟังปัญหาของประชาชน และนำมาแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านเศรษฐกิจ และความเครียดของ คน กทม.
ต่อข้อถามที่ว่า มีความมั่นใจที่ผู้สมัครของพรรคฯ จะได้สานต่อนโยบายผู้ว่าฯกทม. หรือไม่ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับประชาชน และผู้ที่จะออกมาใช้สิทธิว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพราะที่ผ่านมา ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ก็มีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่ออกมาใช้สิทธิโดยพร้อมเพียงกัน และอยากให้มองที่นโยบาย ความรู้ความสามารถ มากกว่าตัวบุคคล อย่างไรก็ตาม สำหรับ นโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก็จะมีการเปิดนโยบายเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ด้วย
**คุณชายทุ่มทุนค้างคืนหาเสียง
จากนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้ลงพื้นที่ที่โรงเรียนเกษตรทฤษฎีใหม่ เขตหนองจอก โดยพบปะประชาชน และชาวเกษตรกร พร้อมกล่าวว่า ตนจะพลิกฟื้นการเกษตรกรรมให้สามารถเป็นสินค้าที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่กทม.ให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรรมสร้างรายได้ให้กทม.ได้เพียง 0.15 % ขณะที่มีที่ทำเกษตรกรรม 23 % ทั้งนี้พื้นที่ที่ตนจะเน้นให้เป็นแหล่งเกษตรกรรมเต็มรูปแบบ และครบวงจรคือพื้นที่ตะวันออกของกทม. พร้อมส่งเสริมในเชิงตลาดโดยให้สินเชื่อกับเกษตรกร และขยายตลาดให้ส่งออกทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดภายใต้แบรนด์กรุงเทพฯกรีน
นอกจากนี้ ตนจะปรับปรุงโรงพยาบาลหนองจอก โดยให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยไม่ต่ำกว่า 20 เตียง เพื่อให้ชาวหนองจอก และเขตใกล้เคียงได้รับบริการอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ส่วนปัญหาเรื่องน้ำ อาทิ น้ำไม่เพียงพอต่อเกษตรกรรม น้ำท่วมนั้น ตนจะให้เจ้าหน้าที่ กทม.ศึกษา และวางแผนการแก้ไขระยะยาว ซึ่งจะทำเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยจะทำอย่างเป็นระบบ
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลกรุงเทพโพลล์ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้คะแนนนำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ตนขอเตือนนักวิชาการที่ทำโพลล์ด้วยว่า อย่าทำในลักษณะที่ชี้นำประชาชน และไม่ควรที่จะทำสำรวจในช่วงนี้ เพราะความคลาดเคลื่อนจะมีสูง ดังนั้นควรที่จะทำในช่วงที่ใกล้จะถึงวันลงคะแนนจะดีกว่า อย่างไรก็ตามตนก็ยังคงเดินหน้าหาเสียงตามแผนต่อไป
ส่วนที่มองว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อาจจะไม่ติดดินนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก้มลงที่เท้าตัวเองพร้อมกับตอบว่า “รองเท้าก็เต็มไปด้วยฝุ่นทุกวัน ไม่รู้จะติดดินอย่างไรแล้ว คืนนี้ผมก็จะไปนอนค้างบ้านชาวบ้านในเขตพื้นที่หนองจอก ให้เวลาชาวบ้านมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นความรู้ต่อกัน ถ้าจะให้ผมตกน้ำหรือปีนต้นไม้แล้วถึงจะติดดินผมก็ทำได้นะ”
**แก้วสรรขายฝันสร้างรถไฟฟ้าเหนือ-ใต้
นายแก้วสรร อติโพธิ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 12 ในนามกลุ่มกรุงเทพฯ ใหม่ พร้อมด้วยนายขวัญสรวง อติโพธิ และทีมงานลงพื้นที่หาเสียงบริเวณท่าเรือข้ามฟากไปสาทร โดยนายแก้วสรรได้ยืนแจกเอกสารแนะนำตัวบริเวณด้านหน้าสวนสาทรเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา
นายแก้วสรร กล่าวยืนยันว่า เดือนเมษายนปีหน้าส่วนต่อขยาย 2.2 กิโลเมตร ไปฝั่งธนฯ เปิดให้บริการแน่นอนไม่ว่าใครเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็ตาม และผู้ที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต้องช่วยทำให้การลงทุนที่ลงไปแล้วกว่าพันล้านบาท เกิดประโยชน์กับคน กทม.ไม่ใช่ต้องนั่งรถ ต่อเรือ หลายต่อกว่าจะถึงที่หมาย
ส่วนโครงการเดิมที่รัฐบาลวางแผน 10 สายนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมดเพราะติดปัญหาการเวนคืนชาวบ้าน ใช้ต้นทุนสูง โดยตนมีแผนจะสร้างรถไฟฟ้าแกนหลักคือสายเหนือสิ้นสุดที่รังสิต และสายใต้สิ้นสุดที่ตลิ่งชัน ซึ่งจะใช้เส้นทางตามแนวรางรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อไม่ต้องเวนคืนที่ดินชาวบ้านให้เป็นปัญหา
การคมนาคมขนส่งระบบรางในพื้นที่กรุงเทพฯควรเป็นหน้าที่ของ กทม.โดยงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 2 สายทางนี้นั้น ตนจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตร กทม. ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปกู้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิคหรือไจก้า) ขณะเดียวกันก็จะจัดให้มีรถไมโครบัสหรือรถสองแถวขนาดเล็กวิ่งรับส่งผู้โดยสารจากที่บ้าน ที่ทำงานถึงสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนซึ่งรถรับส่งที่ว่านี้กทม.จะเปิดให้มีการประมูลสัมปทานโดยผู้ประกอบการ 1 รายสามารถมีรถวิ่งได้ไม่เกิน 10 คัน
***ฟูมฟายกอดคอ "แอ๊ด เพื่อชีวิต"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแก้วสรรได้ส่งอีเมล์ไปยังสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในหัวข้อ “คุณสนธิ...คุณมีสิทธิอะไรมาทำลายความฝันของผม?” โดยหัวจดหมายระบุว่าเขียนวันที่ 11 ธันวาคม 2551 ที่บ้านคลองขวาง โดยเนื้อหาของจดหมายฉบับดังกล่าวได้ตัดพ้อต่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างว่านายสนธิให้ร้ายตนเอง สั่งการให้คนไปเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชักชวนไม่ให้พันธมิตรฯ เลือกตนเอง เนื่องจากตนมีนายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว อยู่ในทีมงาน พร้อมระบุด้วยว่านายสนธิทำลายความฝันของเขาที่ต้องการเข้ามารับใช้ประชาชนคนกรุงเทพ
**“แซม” ให้หาบเร่ขายของบนสะพานลอย
ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 10 พรรคเพื่อไทย(พท.) ลงพื้นที่หาเสียงตลาดยิ่งเจริญ ย่านสะพานใหม่ พร้อมแถลงนโยบายการพัฒนาตลาด ด้วยระบบการบริหารจัดการตลาดยุคใหม่ ว่า หากตนได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯกทม. ตนมีแนวคิดที่จะทำตลาดสด 4 มุมเมือง ตามจุดสำคัญของกทม. 4 แห่งที่ใหญ่ มีคุณภาพ สินค้าถูกสุขลักษณะ มีระบบการจัดการความสะอาดที่คำนึงสุขอนามัยให้กับผู้ค้า และผู้บริโภค โดยจะนำรูปแบบของตลาดสดยิ่งเจริญมาปรับใช้ นอกจากนั้นในฐานะพ่อเมือง กทม.จะเข้าไปตรวจคุณภาพของตลาดสดทั่วเมือง ทั้งตลาดสังกัด กทม. และตลาดของเอกชน
ส่วนผู้ค้าหาบเร่ที่มีปัญหาว่าขายในพื้นที่ที่ไม่ได้ประกาศให้เป็นจุดผ่อนผัน ตนจะปราบปราม และหาพื้นที่ขายแห่งใหม่ให้ เช่น บนสะพานลอยคนข้าม ที่มีพื้นที่กว้างพอที่จะตั้งแผงขายของได้ ซึ่งการเปิดขายบนสะพานลอยจะมีประโยชน์ คือ ผู้ค้ามีรายได้ และประชาชนกล้าที่จะใช้สะพานลอยข้ามถนนมากขึ้น ส่วนปัญหาตลาดโบ๊เบ๊ที่เป็นปัญหาอยู่นั้น ตนจะหาวิธีแก้ไขโดยการเจรจากับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อยุติที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าหลังจากที่นายยุรนันท์แถลงข่าวเสร็จ ได้เดินพบปะผู้ค้าและประชาชนที่จับจ่ายซื้อของ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก
ขณะที่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 สังกัดอิสระ เดินทางตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาที่มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง ซ.ปรีดีพนมยงค์ 36 เขตพระโขนง ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลเด็กพิเศษ เช่น เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม ออทิสติก สมาธิสั้น และมีปัญหาในการเรียนรู้
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า ตนได้รับการติดต่อจากประธานสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิมแห่งประเทศไทย ที่เคยให้ลูกมาฝึกทักษะที่มูลนิธิแห่งนี้และรับรู้ถึงปัญหาในการบริหารจัดการของมูลนิธิฯ โดยมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง เป็นหนึ่งในศูนย์ที่ช่วยเหลือผู้ปกครองในการดูแลเด็กพิเศษ ตั้งแต่ชั้นเนอสเซอรี่-อายุ 20 กว่าปี โดยตนมีนโยบายที่จะจัดสรรงบประมาณมาพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กต่างๆ ที่ปัจจุบันน่าจะมีจำนวนมาก แต่แม้จะมีจำนวนเท่าใดตนก็เห็นว่าควรจะเพิ่มศูนย์ดูแลเด็กพิเศษให้มากขึ้น 2-3 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ นอกจากนี้อาจยกระดับมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง ให้เป็นศูนย์ฝึกบุคลากรในการดูแลเด็กพิเศษ เพื่อไปประจำตามโรงเรียนในสังกัด กทม. เบื้องต้นควรจัดให้เป็นโรงเรียนร่วม 10 แห่ง หรือจัดให้เป็นห้องเรียนพิเศษช่วยประหยัดงบประมาณได้ด้วย อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามผู้บริหารทราบว่ามูลนิธิมีปัญหาเรื่องรายได้ และงบประมาณในการบริหารจัดการ ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากการรับบริจาค ทั้งนี้ หากตนได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ตนจะพิจารณาเรื่องการนำศูนย์ดังกล่าวเข้าสังกัดของ กทม.
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาหาตนเพื่อแจ้งปัญหาให้ทราบ นอกเหนือจากการไปเดินแนะนำตัว ส่วนใหญ่เรื่องที่ได้รับแจ้งคือเรื่องความสกปรก ปัญหาทางเท้าไม่เรียบ เป็นต้น ซึ่งต่อไปตนจะลงไปรับรู้ปัญหาจากที่ประชาชนแจ้งมา ส่วนแนวทางในการลงพื้นที่หาเสียงจะยังคงใช้วิธีหาเสียงแบบฉายเดี่ยวเหมือนเดิม ส่วนทีมงานนั้นยังไม่ขอเปิดเผยเช่นเดิม เพราะตนเชื่อว่าเมื่อชัยชนะมาทีมงานจึงค่อยเกิด.