ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (4 ธ.ค.) เครือข่ายปัญญาสยาม ออกแถลงการณ์ว่า แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการ ยุบพรรคการเมือง 3 พรรคและห้ามกรรมการบริหารพรรคเกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยุติการชุมนุมลง ทำให้วิกฤตทางการเมืองได้คลี่คลายลงมาระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองยังคงสุ่มเสี่ยงที่อาจจะทวีความรุนแรง กลับไปสู่ระดับวิกฤตเหมือนเดิมได้ ถ้าพรรคการเมืองต่าง ๆ ขาดความเสียสละหรือขาดความละเอียดรอบคอบในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยไม่ได้ให้ความใส่ใจต่อประชาชนทุกภาคส่วน
แถลงการณ์ระบุว่ารัฐบาลผสม 6 พรรคเดิมซึ่งได้รับโอกาสให้จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐธรรมนูญปี 2550 ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้พิสูจน์ให้สังคมส่วนรวมได้รับทราบโดยชัดแจ้งว่าไม่สามารถที่จะบริหารจัดการบ้านเมืองให้มีความสงบสุข เรียบร้อย ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพสามารถนำพาประเทศไปสู่จุดหมายของความอยู่ดีกินดี สามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกันได้ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวลึกลงไปในความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ถึงขั้นมีการปะทะ ทำร้ายกันยังความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นเมื่อวิกฤตทางการเมืองได้คลี่คลายและเกิดโอกาสใหม่ขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ควรดำเนินการไปโดยกลุ่มทางการเมือง เดิมด้วยฐานคิดและวิธีการเดิม เพราะจะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเมืองที่เลวร้ายเหมือนเดิม
ประเด็นปัญหาที่ควรจะได้รับการพิจารณาให้เห็นสอดคล้องต้องกันและมีความชัดเจนก่อนที่จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป ได้แก่
1. สถานภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ (สัดส่วน) ของพรรคที่ถูก คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคสามารถที่จะย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้หรือไม่ เนื่องจากมีคำถามในหลักการว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อนั้นประชาชนเลือกมาในนามของพรรค เพื่อพรรคถูกยุบแล้วน่าจะหมดสมาชิกภาพและหมดความชอบธรรมในการดำเนินการทางการเมืองต่อไปด้วย ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังกล่าวย้ายไปอยู่พรรคใหม่โดยที่ทุกภาคส่วนยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าสถานภาพเป็นอย่างไร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังกล่าวมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อและรับรองการเป็นนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ อาจทำให้เป็นโมฆะและเกิดปัญหาต่อไป
2. สถานภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่สังกัดพรรคที่ถูกศาล รัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค แต่ยังดำเนินการเข้าสังกัดพรรคใหม่ไม่เรียบร้อยตามกระบวนการ จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่
จากประเด็นปัญหา 2 ประการข้างต้น รวมถึงแนวทางที่พรรคการเมืองทุกพรรค จะต้อง พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบโดยคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก ทางเครือข่ายจึงใคร่เสนอให้ทุกพรรคการเมืองได้โปรดกรุณาชะลอการจัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรไว้ก่อน และขอให้ทุกพรรคการเมืองได้พิจารณาการจัดตั้งรัฐบาลด้วยวิธีคิดใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม อาทิเช่น นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังคมยอมรับในความรู้ความสามารถและมีคุณธรรม โดยไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุด
หรือคณะรัฐมนตรีควรมาจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านที่เหมาะสมกับกระทรวงนั้นๆ เป็นที่ยอมรับในสังคม มิได้มาจากโควตาหรือสัดส่วนของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่การเมืองไทยใช้มาและนำมาสู่ สถานการณ์วิกฤตดังที่ปรากฏอยู่ แนวคิดดังกล่าวข้างต้นน่าจะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเพื่อให้ประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะปกติต่อไป
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองยังคงสุ่มเสี่ยงที่อาจจะทวีความรุนแรง กลับไปสู่ระดับวิกฤตเหมือนเดิมได้ ถ้าพรรคการเมืองต่าง ๆ ขาดความเสียสละหรือขาดความละเอียดรอบคอบในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยไม่ได้ให้ความใส่ใจต่อประชาชนทุกภาคส่วน
แถลงการณ์ระบุว่ารัฐบาลผสม 6 พรรคเดิมซึ่งได้รับโอกาสให้จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐธรรมนูญปี 2550 ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้พิสูจน์ให้สังคมส่วนรวมได้รับทราบโดยชัดแจ้งว่าไม่สามารถที่จะบริหารจัดการบ้านเมืองให้มีความสงบสุข เรียบร้อย ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพสามารถนำพาประเทศไปสู่จุดหมายของความอยู่ดีกินดี สามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกันได้ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวลึกลงไปในความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ถึงขั้นมีการปะทะ ทำร้ายกันยังความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นเมื่อวิกฤตทางการเมืองได้คลี่คลายและเกิดโอกาสใหม่ขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ควรดำเนินการไปโดยกลุ่มทางการเมือง เดิมด้วยฐานคิดและวิธีการเดิม เพราะจะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเมืองที่เลวร้ายเหมือนเดิม
ประเด็นปัญหาที่ควรจะได้รับการพิจารณาให้เห็นสอดคล้องต้องกันและมีความชัดเจนก่อนที่จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป ได้แก่
1. สถานภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ (สัดส่วน) ของพรรคที่ถูก คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคสามารถที่จะย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้หรือไม่ เนื่องจากมีคำถามในหลักการว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อนั้นประชาชนเลือกมาในนามของพรรค เพื่อพรรคถูกยุบแล้วน่าจะหมดสมาชิกภาพและหมดความชอบธรรมในการดำเนินการทางการเมืองต่อไปด้วย ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังกล่าวย้ายไปอยู่พรรคใหม่โดยที่ทุกภาคส่วนยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าสถานภาพเป็นอย่างไร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังกล่าวมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อและรับรองการเป็นนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ อาจทำให้เป็นโมฆะและเกิดปัญหาต่อไป
2. สถานภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่สังกัดพรรคที่ถูกศาล รัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค แต่ยังดำเนินการเข้าสังกัดพรรคใหม่ไม่เรียบร้อยตามกระบวนการ จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่
จากประเด็นปัญหา 2 ประการข้างต้น รวมถึงแนวทางที่พรรคการเมืองทุกพรรค จะต้อง พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบโดยคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก ทางเครือข่ายจึงใคร่เสนอให้ทุกพรรคการเมืองได้โปรดกรุณาชะลอการจัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรไว้ก่อน และขอให้ทุกพรรคการเมืองได้พิจารณาการจัดตั้งรัฐบาลด้วยวิธีคิดใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม อาทิเช่น นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังคมยอมรับในความรู้ความสามารถและมีคุณธรรม โดยไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุด
หรือคณะรัฐมนตรีควรมาจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านที่เหมาะสมกับกระทรวงนั้นๆ เป็นที่ยอมรับในสังคม มิได้มาจากโควตาหรือสัดส่วนของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่การเมืองไทยใช้มาและนำมาสู่ สถานการณ์วิกฤตดังที่ปรากฏอยู่ แนวคิดดังกล่าวข้างต้นน่าจะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเพื่อให้ประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะปกติต่อไป
