รอยเตอร์ – เซอร์เบอรัส ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์เอกชนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และบริหาร “ไครสเลอร์” อยู่เวลานี้ ได้เรียกร้องเงินมากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ จากเจ้าของเดิม “เดมเลอร์ เอจี” สืบเนื่องจากการขาดทุนในการเข้าซื้อกิจการรถยนต์ใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯแห่งนี้เมื่อปี 2007
การเรียกร้องเงินค่าเสียหายเป็นพิเศษคราวนี้ ซึ่งถูกทางเดมเลอร์ ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันชื่อดังอย่าง “เมอร์ซิเดส-เบนซ์” ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าไร้สาระนั้น เป็นการเรียกร้องเงินชดเชย สูงกว่าเงินเต็มจำนวนที่เซอร์เบอรัส แคปิตอล แมเนจเมนต์จ่ายออกมา เมื่อตอนเข้าซื้อไครสเลอร์เสียอีก
เซอร์เบอรัสอ้างว่าเดมเลอร์ละเมิดข้อตกลงมูลค่า 7,200 ล้านดอลลาร์ที่ทำไว้ตอนที่มีการซื้อขายหุ้น 80.1% ของไครสเลอร์กันในปี 2007
ขณะที่เดมเลอร์กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเซอร์เบอรัสคราวนี้กำลังสร้างความยุ่งเหยิงให้แก่การขายหุ้นไครสเลอร์อีก 19.9% ที่ตนเองยังคงถืออยู่ ไปให้แก่ทางเซอร์เบอรัส
ทั้งนี้มีรายงานว่า เซอร์เบอรัสต้องการได้หุ้นไครสเลอร์มาไว้ในมือทั้งหมด เพื่อจะได้เจรจาขายออกไปทั้งกิจการได้โดยสะดวก แต่จากการทะเลาะกับเดมเลอร์เช่นนี้ ก็อาจขวางกั้นความพยายามของเซอร์เบอรัสที่ร่วมกับอีก 2 ยักษ์รถยนต์อเมริกัน คือ จีเอ็ม และ ฟอร์ด ในการเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯเข้ามาช่วยเหลืออย่างฉุกเฉินด้วยมาตรการต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 25,000 ล้านดอลลาร์
การเรียกร้องเงินค่าเสียหายเป็นพิเศษคราวนี้ ซึ่งถูกทางเดมเลอร์ ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันชื่อดังอย่าง “เมอร์ซิเดส-เบนซ์” ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าไร้สาระนั้น เป็นการเรียกร้องเงินชดเชย สูงกว่าเงินเต็มจำนวนที่เซอร์เบอรัส แคปิตอล แมเนจเมนต์จ่ายออกมา เมื่อตอนเข้าซื้อไครสเลอร์เสียอีก
เซอร์เบอรัสอ้างว่าเดมเลอร์ละเมิดข้อตกลงมูลค่า 7,200 ล้านดอลลาร์ที่ทำไว้ตอนที่มีการซื้อขายหุ้น 80.1% ของไครสเลอร์กันในปี 2007
ขณะที่เดมเลอร์กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเซอร์เบอรัสคราวนี้กำลังสร้างความยุ่งเหยิงให้แก่การขายหุ้นไครสเลอร์อีก 19.9% ที่ตนเองยังคงถืออยู่ ไปให้แก่ทางเซอร์เบอรัส
ทั้งนี้มีรายงานว่า เซอร์เบอรัสต้องการได้หุ้นไครสเลอร์มาไว้ในมือทั้งหมด เพื่อจะได้เจรจาขายออกไปทั้งกิจการได้โดยสะดวก แต่จากการทะเลาะกับเดมเลอร์เช่นนี้ ก็อาจขวางกั้นความพยายามของเซอร์เบอรัสที่ร่วมกับอีก 2 ยักษ์รถยนต์อเมริกัน คือ จีเอ็ม และ ฟอร์ด ในการเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯเข้ามาช่วยเหลืออย่างฉุกเฉินด้วยมาตรการต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 25,000 ล้านดอลลาร์
