รอยเตอร์ - ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)เมื่อวันอังคาร(25) ประกาศแผนการอัดฉีดเม็ดเงินซึ่งรวมแล้วอาจจะสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่ผู้บริโภคที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศ โดยอาศัยสองโครงการใหม่ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนเข้าถึงและได้มาซึ่งสินเชื่อเพื่อการจับจ่ายต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นซื้อบ้าน, รถยนต์หรือบัตรเครดิต
โครงการแรกซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกอบกู้ตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังตกต่ำย่ำแย่หนักและถือเป็นหัวใจของปัญหาความยุ่งยากลำบากทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในเวลานี้นั้น เฟดจะเข้าไปซื้อตราสารหนี้ในจำนวนไม่เกิน 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งออกโดยพวกสถาบันสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่ อันได้แก่ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ตลอดจนธนาคารอาคารสงเคราะห์ของสหรัฐฯ (เอฟเอชแอลบี) อีกทั้งจะเข้าซื้อตราสารหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค้ำประกันโดย แฟนนี เม, เฟรดดี แมค, และ จินนี เม ในจำนวนรวมไม่เกิน 500,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนอีกโครงการหนึ่งนั้น เฟดจะจับมือกับกระทรวงการคลัง อัดฉีดเงิน 200,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมสินเชื่อเพื่อการศึกษา, การเช่าซื้อรถยนต์ และบัตรเครดิต รวมทั้งสินเชื่อที่หนุนหลังโดยสำนักงานส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กสหรัฐฯด้วย โดยในโครงการนี้จะเป็นการให้เงินกู้แก่พวกนักลงทุนที่ถือตราสารหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันโดยหนี้เหล่านี้
ทันทีที่ประกาศออกมา ตลาดสินเชื่อบ้านที่ตึงตัวอย่างหนักก็แสดงภาวะผ่อนคลายทันที โดยอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อซื้อบ้านอายุ 30 ปีลดลงมาอยู่ที่ 4-7/8% จาก 6% ทั้งนี้จากการรายงานของเบสท์อินโฟ ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ตลาด
.
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางรายเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับเงินมากมายหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ทางการสหรัฐฯกำลังอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อกอบกู้สถานะทางการเงิน ดังนั้นจึงทำให้ตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงสวนทางกับราคาพันธบัตร เพราะพวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าเงินเหล่านี้จะเพียงพอที่จะช้อนเศรษฐกิจที่ร่วงลงเรื่อย ๆให้โงหัวกลับขึ้นมาได้จริงหรือ
"ในระยะยาว ผมคิดว่ามันจะลำบากไม่น้อยที่เฟดต้องลนลานแก้ไขปัญหาแบบนี้ ทุกครั้งที่พวกเขาพยายามอุดรูรั่วที่หนึ่ง สักพักก็ต้องวิ่งไปอุดที่ใหม่อีก" ทอม อเล็กซานเดอร์ ผู้บริหารของอเล็กซานเดอร์ เทรดดิ้ง ในมลรัฐจอร์เจียกล่าว
"และนี่กลายเป็นข้อสงสัยของผู้เล่นในตลาดรวมทั้งประชาชนทั้งหลายว่าประเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกกันแน่" อเล็กซานเดอร์กล่าว
เมื่อต้นเดือนกันยายน รัฐบาลประกาศเข้าควบคุมแฟนนี เม และเฟรดดี้ แมคเพื่อป้องกันมิให้สถาบันการเงินทั้งสองล้มครืน โดยเชื่อว่าจะสามารถหยุดยั้งการพังทลายของระบบระดมทุนสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหัวใจของปัญหาวิกฤตภาคการเงินของสหรัฐฯในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็พากันเมินไม่ซื้อตราสารหนี้ที่สองสถาบันนี้ออกมา รวมทั้งไม่ซื้อตราสารหนี้ที่อิงอยู่กับสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ทั้งสองแห่งค้ำประกันอีกด้วย ทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นอย่งรุนแรง เวลานี้ เฟดหวังว่าด้วยมาตรการใหม่ที่จะเข้าซื้อตราสารประเภทนี้รวม 600,000 ล้านดอลลาร์ จะช่วยพยุงตลาดขึ้นมาได้บ้าง
"ความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มสภาพคล่องของสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านให้มากขึ้น และผลที่ส่งต่อไปก็คือช่วยหนุนตลาดที่อยู่อาศัย รวมทั้งกระตุ้นเงื่อนไขทางด้านเงินอื่น ๆให้ดีขึ้นด้วย" เฟดกล่าว
"พวกเขายิงเข้าตรงหัวใจของปัญหาเลย มาตรการนี้ทั้งตรง ทั้งเร็ว และทั้งหมดจด" ทอดด์ อับราฮัม จากเฟดเดอเรเต็ด อินเวสเตอร์ซึ่งเป็นสถาบันพันธบัตรสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลแสดงความเห็นเชียร์เต็มตัว "มันเป็นหนทางที่ถูกต้องในการทำให้อัตราดอกเบี้ยบ้านลดลงมา"
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถปั๊มเงินสดเข้าสู่ระบบการธนาคารได้ แต่ก็บอกว่าไม่ควรจะมองการเคลื่อนไหวของทางการครั้งนี้ว่าเป็นการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน "ในแง่ปริมาณ" เพราะไม่ต้องการให้ธนาคารเปลี่ยนพฤติกรรมไปอีก
สำหรับด้านการช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อในตลาดผู้บริโภคนั้น กระทรวงการคลังแถลงว่าจะช่วยเหลือเฟดหากว่าเกิดขาดทุนจากโครงการนี้ โดยที่จะเตรียมเงินเผื่อขาดทุนเอาไว้ให้เฟดเป็นจำนวน 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการใช้เงินจากกองทุนกอบกู้เศรษฐกิจ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งรัฐสภาอนุมัติออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว
จนถึงบัดนี้ รัฐสภาได้ให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังที่จะใช้เงินราวครึ่งหนึ่งของที่อนุมัติไป และตอนนี้ก็มีเงินเหลืออยู่แค่ 20,000 ล้านดอลลาร์ที่จะสามารถแบ่งสรรไปช่วยในสถานการณ์ต่าง ๆได้ โดยหลังจากนี้รัฐบาลจะต้องขอให้รัฐสภาอนุมัติเงิน 350,000 ล้านที่เหลืออยู่เพื่อนำมาใช้ในโครงการต่อไป
โครงการแรกซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกอบกู้ตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังตกต่ำย่ำแย่หนักและถือเป็นหัวใจของปัญหาความยุ่งยากลำบากทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในเวลานี้นั้น เฟดจะเข้าไปซื้อตราสารหนี้ในจำนวนไม่เกิน 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งออกโดยพวกสถาบันสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่ อันได้แก่ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ตลอดจนธนาคารอาคารสงเคราะห์ของสหรัฐฯ (เอฟเอชแอลบี) อีกทั้งจะเข้าซื้อตราสารหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค้ำประกันโดย แฟนนี เม, เฟรดดี แมค, และ จินนี เม ในจำนวนรวมไม่เกิน 500,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนอีกโครงการหนึ่งนั้น เฟดจะจับมือกับกระทรวงการคลัง อัดฉีดเงิน 200,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมสินเชื่อเพื่อการศึกษา, การเช่าซื้อรถยนต์ และบัตรเครดิต รวมทั้งสินเชื่อที่หนุนหลังโดยสำนักงานส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กสหรัฐฯด้วย โดยในโครงการนี้จะเป็นการให้เงินกู้แก่พวกนักลงทุนที่ถือตราสารหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันโดยหนี้เหล่านี้
ทันทีที่ประกาศออกมา ตลาดสินเชื่อบ้านที่ตึงตัวอย่างหนักก็แสดงภาวะผ่อนคลายทันที โดยอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อซื้อบ้านอายุ 30 ปีลดลงมาอยู่ที่ 4-7/8% จาก 6% ทั้งนี้จากการรายงานของเบสท์อินโฟ ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ตลาด
.
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางรายเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับเงินมากมายหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ทางการสหรัฐฯกำลังอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อกอบกู้สถานะทางการเงิน ดังนั้นจึงทำให้ตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงสวนทางกับราคาพันธบัตร เพราะพวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าเงินเหล่านี้จะเพียงพอที่จะช้อนเศรษฐกิจที่ร่วงลงเรื่อย ๆให้โงหัวกลับขึ้นมาได้จริงหรือ
"ในระยะยาว ผมคิดว่ามันจะลำบากไม่น้อยที่เฟดต้องลนลานแก้ไขปัญหาแบบนี้ ทุกครั้งที่พวกเขาพยายามอุดรูรั่วที่หนึ่ง สักพักก็ต้องวิ่งไปอุดที่ใหม่อีก" ทอม อเล็กซานเดอร์ ผู้บริหารของอเล็กซานเดอร์ เทรดดิ้ง ในมลรัฐจอร์เจียกล่าว
"และนี่กลายเป็นข้อสงสัยของผู้เล่นในตลาดรวมทั้งประชาชนทั้งหลายว่าประเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกกันแน่" อเล็กซานเดอร์กล่าว
เมื่อต้นเดือนกันยายน รัฐบาลประกาศเข้าควบคุมแฟนนี เม และเฟรดดี้ แมคเพื่อป้องกันมิให้สถาบันการเงินทั้งสองล้มครืน โดยเชื่อว่าจะสามารถหยุดยั้งการพังทลายของระบบระดมทุนสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหัวใจของปัญหาวิกฤตภาคการเงินของสหรัฐฯในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็พากันเมินไม่ซื้อตราสารหนี้ที่สองสถาบันนี้ออกมา รวมทั้งไม่ซื้อตราสารหนี้ที่อิงอยู่กับสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ทั้งสองแห่งค้ำประกันอีกด้วย ทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นอย่งรุนแรง เวลานี้ เฟดหวังว่าด้วยมาตรการใหม่ที่จะเข้าซื้อตราสารประเภทนี้รวม 600,000 ล้านดอลลาร์ จะช่วยพยุงตลาดขึ้นมาได้บ้าง
"ความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มสภาพคล่องของสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านให้มากขึ้น และผลที่ส่งต่อไปก็คือช่วยหนุนตลาดที่อยู่อาศัย รวมทั้งกระตุ้นเงื่อนไขทางด้านเงินอื่น ๆให้ดีขึ้นด้วย" เฟดกล่าว
"พวกเขายิงเข้าตรงหัวใจของปัญหาเลย มาตรการนี้ทั้งตรง ทั้งเร็ว และทั้งหมดจด" ทอดด์ อับราฮัม จากเฟดเดอเรเต็ด อินเวสเตอร์ซึ่งเป็นสถาบันพันธบัตรสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลแสดงความเห็นเชียร์เต็มตัว "มันเป็นหนทางที่ถูกต้องในการทำให้อัตราดอกเบี้ยบ้านลดลงมา"
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถปั๊มเงินสดเข้าสู่ระบบการธนาคารได้ แต่ก็บอกว่าไม่ควรจะมองการเคลื่อนไหวของทางการครั้งนี้ว่าเป็นการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน "ในแง่ปริมาณ" เพราะไม่ต้องการให้ธนาคารเปลี่ยนพฤติกรรมไปอีก
สำหรับด้านการช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อในตลาดผู้บริโภคนั้น กระทรวงการคลังแถลงว่าจะช่วยเหลือเฟดหากว่าเกิดขาดทุนจากโครงการนี้ โดยที่จะเตรียมเงินเผื่อขาดทุนเอาไว้ให้เฟดเป็นจำนวน 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการใช้เงินจากกองทุนกอบกู้เศรษฐกิจ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งรัฐสภาอนุมัติออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว
จนถึงบัดนี้ รัฐสภาได้ให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังที่จะใช้เงินราวครึ่งหนึ่งของที่อนุมัติไป และตอนนี้ก็มีเงินเหลืออยู่แค่ 20,000 ล้านดอลลาร์ที่จะสามารถแบ่งสรรไปช่วยในสถานการณ์ต่าง ๆได้ โดยหลังจากนี้รัฐบาลจะต้องขอให้รัฐสภาอนุมัติเงิน 350,000 ล้านที่เหลืออยู่เพื่อนำมาใช้ในโครงการต่อไป