สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ถ้าจะเปรียบเหมือนฝีหนองก็ถือว่าเข้าขั้น “สุกงอม” จนปริใกล้แตกเต็มทีแล้ว แต่ขณะเดียวกันเมื่อทุกอย่างมีเกิดก็ย่อมมีดับ การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ส่วนจะเป็นไปในทางไหนค่อยมาว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
หากไล่เรียงไปแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นล้วนกำลังเดินมาถึงบทที่ต้องสรุปกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขด้านเวลาหรือสถานการณ์บังคับ
ฝ่าย “ระบอบทักษิณ” กำลังถอยร่นถูกต้อนเข้ามุมเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องคดีความไม่ว่าจะเป็นคดียุบพรรคพลังประชาชนที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเดินหน้าอยู่ในขั้นตอนสำคัญ ซึ่งทุกฝ่ายฟันธงร่วมกันล่วงหน้าแล้วว่า “ยุบแน่ๆ” รอเพียงแต่เมื่อไหร่เท่านั้น
บรรดาพลพรรคต่างแพ็กกระเป๋าหอบสัมภาระเตรียมย้ายไปอยู่บ้านใหม่ในนามพรรคเพื่อไทยกันเป็นทิวแถว ทุกอย่างเตรียมพร้อมรองรับเอาไว้ล่วงหน้ามานานเป็นปี
หลายคดีตัวผู้นำระดับหัวแถว อย่าง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” กำลังอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ในบริษัท ซีเอส ล็อกอินโฟร์ หรือกรณีถูกพิจารณาความผิดฐานเป็นคนสั่งการในเหตุการณ์ “7 ตุลาทมิฬ” ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็ได้ชี้มูลความผิด 28 รัฐมนตรีในรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ที่ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ยกอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ที่ สมชาย นั่งเป็นรองนายกฯและ รมว.ศึกษาธิการรวมอยู่ด้วย
เรื่องความผิดสมัยเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมทำให้รัฐเสียหายกว่า 70 ล้านบาท หลังจากไม่ยอมสั่งให้ดำเนินคดีเรื่องค่าธรรมเนียมศาลธัญบุรี
ถูกสังคมรุมสวดเรื่องมาตรฐานจริยธรรมส่วนตัวจาก “คลิปฉาว” มีภาพใช้เวลาในราชการควงสาวรุ่นลูกเข้าโรงแรมม่านรูด ฯลฯ
ตลอดเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่เคยรังสรรค์ผลงานให้ชาวบ้านได้ประทับใจสักเรื่องเดียว ตรงกันข้ามมีแต่เรื่องส่วนตัว ทำผิดจริยธรรม ช่วยเหลือพรรคพวก เพื่อ “พี่เมีย” และครอบครัว เห็นได้ชัดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือความพยายามออกกฎหมายต่างๆนานา ทั้งในรูปแบบของการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม หรือล่าสุดมีความคิดเสนอกฎหมายเพื่อความปรองดอง
สรุปก็คือช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ให้พ้นผิด หรือไม่ต้องรับโทษนั่นเอง
ขณะที่ในมุมของ ทักษิณ บ้าง นาทีนี้ถือว่ากำลังดิ้นรนอย่างหนัก หลังจากหลายเรื่องหลายราวถูกเปิดโปงให้เห็นธาตุแท้มากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มจากโฟนอินข้ามประเทศเข้ามาปลุกระดมรากหญ้า ใช้เป็นเครื่องมือกดดัน “พระราชทานอภัยโทษ”
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาตามความเป็นจริง “จุดหักเห” สำคัญที่ทำให้ “เสี่ยเหลี่ยม” เลือดเข้าตาก็คือเรื่องที่อังกฤษสั่งระงับวีซ่า ขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ ทำให้ทุกอย่างปั่นป่วน เกมพลิกกลับทันที
เพราะนอกจากจะมีโอกาสต้องสูญเสียหรือเกิดความยุ่งยากในเรื่องทรัพย์สินที่ได้ลงทุนเอาไว้จำนวนไม่ใช่น้อย ทั้งบ้านในย่านหรูหรา หรือการลงทุนอื่นๆมูลค่านับหมื่นล้านบาท แต่นั่นอาจเทียบไม่ได้กับการ “เสียหน้า” เสียเครดิตในเวทีโลก
นอกจากนี้ยังข่าวแพลมออกมาในช่วงเวลาเดียวกันอีกว่าจากวิกฤต “แฮมเบอร์เกอร์” ในสหรัฐกำลังลุกลามไปยุโรปและทั่วโลกขณะนี้ทำให้ “เฮียแม้ว” ที่ไปลงทุนเอาไว้ในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนน้ำมันต้องขาดทุนบักโกรก เหมือนทุกข์ซ้ำกรรมซัด
หากอังกฤษที่ถือว่าเป็นประเทศต้นแบบประชาธิปไตยขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ ย่อมส่งผลให้ประเทศต่างในยุโรป และสหรัฐอเมริกาใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันห้ามเข้าประเทศด้วย และโอกาสในการขอลี้ภัยทางการเมืองถาวรมีโอกาสดับวูบลง
แม้ว่ายังไม่ได้เปิดเผยในรายละเอียดสาเหตุในการระงับวีซ่าของอังกฤษ แต่มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า น่าจะมีเรื่องสงสัย “ฟอกเงิน” จากกรณีซื้อขายหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ประกอบกับข่าวคราวในเรื่องประเทศโน้นประเทศนี้แย่งกันเชิญไปเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ เชิญไปแก้ปัญหาความยากจน หรือบางประเทศเลยเถิดไปถึงขั้นจะให้ไปเป็นที่ปรึกษาเรื่อง “ออกหวย” หรือจะให้ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่นั่นก็มี
อนิจจาทุกอย่างโอละพ่อ เป็นข่าวที่กุขึ้นมาโกหกลวงโลกทั้งเพ คิดจะหลอกต้มคนไทยเพื่อสร้างเครดิตให้กับ ทักษิณ ทำให้เห็นว่าขณะที่ประเทศไทยไม่ต้องการ จะจับขังคุก แต่กลับมีหลายประเทศเป็นความสำคัญ ออกข่าวคราวกันครึกโครม แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมาตรงกันข้าม มันก็อับอายขายขี้หน้า
เวลานี้สถานะแท้จริงก็ไม่ต่างกับ “สัมภเวสี” ล่องลอยไปมา อยู่ฮ่องกง 10 วัน เผ่นไปดูไบ 10 วัน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เนื่องจากยังไม่มีประเทศไหนให้ลี้ภัย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นล้วนมีแต่ผลลบต่อ “ทักษิณ” ทั้งสิ้น ไม่มีผลบวก เสียทั้งเงิน เสียทั้งเครดิตตามมาเป็นพรวน แถมล่าสุดยังมีเรื่องต้อง “หย่าเมีย” แม้หลายคนวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งว่านี่เป็นแผนหลายชั้น เพื่อรักษาทรัพย์สินที่ถูกอายัดเอาไว้ส่วนหนึ่ง หรือส่งเมียเข้ามาบัญชาการเกมด้วยคัวเอง ไม่ต้องผ่านนายหน้าอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าการหย่ากับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่อยู่กินกันมานานหลายสิบปีจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนี่คือการหย่ากันจริง ภาพความเป็นแฟมิลีแมน คนรักครอบครัว จะถูกสังคม โดยเฉพาะบรรดารากหญ้าจะรู้สึกงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะที่ผ่านมาขนาดเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถูกรังแกจนลูกเมียไม่ได้อยู่พร้อมหน้า แต่มาวันนี้กลับหย่าขาดกันหน้าตาเฉย ภาพออกมาในโทน “เหลี่ยมจัด” ยิ่งเสียหาย
นี่ยังไม่กล่าวถึงเรื่องซุบซิบ “กุ๊กกิ๊ก” กับนักร้องดังที่มีเสียงเมาท์กันกระหึ่มเมือง แม้แต่สื่อต่างประเทศยังนำไปตีข่าว
เมื่อทุกอย่างสุกงอม ฝ่ายระบอบทักษิณกำลังเข้าตาจนทุกขณะ รุมเร้าเข้ามา มันก็ต้องดิ้นเฮือกสุดท้าย เพราะคงไม่สามารถหนีคุก เร่ร่อนอยู่ต่างประเทศไป 10-20 ปีคงเป็นไปไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าคิดจะสู้แบบแตกหัก คิดจะก่อสงครามประชาชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายมันก็ย่อมคิดหนักเหมือนกัน เพราะสถานการณ์ในวันนี้มันแตกต่างจากสมัยก่อน 19 กันยายนเกือบสิ้นเชิง เพราะคนรู้ทันมากขึ้น อัตราเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ส่วนในด้านของประชาชาชนที่ชุมนุมในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ถือว่าได้เดินมาถึงจุดสำคัญ เพราะจากการปักหลักชุมนุมมานานกว่า 6 เดือนมันถือว่ายาวนานเกินกว่าจะทนนั่งชู “มือตบ” กันในทำเนียบฯ โดยที่รัฐบาลทรราชไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังสร้างความเสียหายกับชาติบ้านเมืองไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป
และล่าสุดเมื่อมีการยิงระเบิดถล่มเข้ามากลางที่ชุมนุมทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ศพและได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 20 ราย ก็ทำให้ความอดทนต้อง “ขาดผึง” ลงในทันที ถึงเวลาต้องเป่านกหวีดระดมพลกันครั้งสุดท้าย วันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย. ทำทุกทางเพื่อขับไล่พวก “ฆาตกร” ออกไปให้จงได้ เพราะนี่คือภารกิจศักดิ์สิทธิ์
ครั้งนี้ต้องม้วนเดียวจบ จะยืดเยื้อต่อไปอีกไม่ได้
และนาทีนี้ไม่ต้องมาสาธยายกันให้เปลืองน้ำลาย วัดได้เสียกันไปเลย !!
ถ้าแพ้ก็เก็บข้าวของกลับบ้าน แม้ไม่ยากยกบ้านเมืองให้คนชั่วไปครอง แต่ในเมื่อสู้สุดกำลังแล้ว ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม !!
หากไล่เรียงไปแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นล้วนกำลังเดินมาถึงบทที่ต้องสรุปกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขด้านเวลาหรือสถานการณ์บังคับ
ฝ่าย “ระบอบทักษิณ” กำลังถอยร่นถูกต้อนเข้ามุมเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องคดีความไม่ว่าจะเป็นคดียุบพรรคพลังประชาชนที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเดินหน้าอยู่ในขั้นตอนสำคัญ ซึ่งทุกฝ่ายฟันธงร่วมกันล่วงหน้าแล้วว่า “ยุบแน่ๆ” รอเพียงแต่เมื่อไหร่เท่านั้น
บรรดาพลพรรคต่างแพ็กกระเป๋าหอบสัมภาระเตรียมย้ายไปอยู่บ้านใหม่ในนามพรรคเพื่อไทยกันเป็นทิวแถว ทุกอย่างเตรียมพร้อมรองรับเอาไว้ล่วงหน้ามานานเป็นปี
หลายคดีตัวผู้นำระดับหัวแถว อย่าง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” กำลังอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ในบริษัท ซีเอส ล็อกอินโฟร์ หรือกรณีถูกพิจารณาความผิดฐานเป็นคนสั่งการในเหตุการณ์ “7 ตุลาทมิฬ” ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็ได้ชี้มูลความผิด 28 รัฐมนตรีในรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ที่ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ยกอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ที่ สมชาย นั่งเป็นรองนายกฯและ รมว.ศึกษาธิการรวมอยู่ด้วย
เรื่องความผิดสมัยเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมทำให้รัฐเสียหายกว่า 70 ล้านบาท หลังจากไม่ยอมสั่งให้ดำเนินคดีเรื่องค่าธรรมเนียมศาลธัญบุรี
ถูกสังคมรุมสวดเรื่องมาตรฐานจริยธรรมส่วนตัวจาก “คลิปฉาว” มีภาพใช้เวลาในราชการควงสาวรุ่นลูกเข้าโรงแรมม่านรูด ฯลฯ
ตลอดเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่เคยรังสรรค์ผลงานให้ชาวบ้านได้ประทับใจสักเรื่องเดียว ตรงกันข้ามมีแต่เรื่องส่วนตัว ทำผิดจริยธรรม ช่วยเหลือพรรคพวก เพื่อ “พี่เมีย” และครอบครัว เห็นได้ชัดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือความพยายามออกกฎหมายต่างๆนานา ทั้งในรูปแบบของการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม หรือล่าสุดมีความคิดเสนอกฎหมายเพื่อความปรองดอง
สรุปก็คือช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ให้พ้นผิด หรือไม่ต้องรับโทษนั่นเอง
ขณะที่ในมุมของ ทักษิณ บ้าง นาทีนี้ถือว่ากำลังดิ้นรนอย่างหนัก หลังจากหลายเรื่องหลายราวถูกเปิดโปงให้เห็นธาตุแท้มากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มจากโฟนอินข้ามประเทศเข้ามาปลุกระดมรากหญ้า ใช้เป็นเครื่องมือกดดัน “พระราชทานอภัยโทษ”
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาตามความเป็นจริง “จุดหักเห” สำคัญที่ทำให้ “เสี่ยเหลี่ยม” เลือดเข้าตาก็คือเรื่องที่อังกฤษสั่งระงับวีซ่า ขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ ทำให้ทุกอย่างปั่นป่วน เกมพลิกกลับทันที
เพราะนอกจากจะมีโอกาสต้องสูญเสียหรือเกิดความยุ่งยากในเรื่องทรัพย์สินที่ได้ลงทุนเอาไว้จำนวนไม่ใช่น้อย ทั้งบ้านในย่านหรูหรา หรือการลงทุนอื่นๆมูลค่านับหมื่นล้านบาท แต่นั่นอาจเทียบไม่ได้กับการ “เสียหน้า” เสียเครดิตในเวทีโลก
นอกจากนี้ยังข่าวแพลมออกมาในช่วงเวลาเดียวกันอีกว่าจากวิกฤต “แฮมเบอร์เกอร์” ในสหรัฐกำลังลุกลามไปยุโรปและทั่วโลกขณะนี้ทำให้ “เฮียแม้ว” ที่ไปลงทุนเอาไว้ในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนน้ำมันต้องขาดทุนบักโกรก เหมือนทุกข์ซ้ำกรรมซัด
หากอังกฤษที่ถือว่าเป็นประเทศต้นแบบประชาธิปไตยขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ ย่อมส่งผลให้ประเทศต่างในยุโรป และสหรัฐอเมริกาใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันห้ามเข้าประเทศด้วย และโอกาสในการขอลี้ภัยทางการเมืองถาวรมีโอกาสดับวูบลง
แม้ว่ายังไม่ได้เปิดเผยในรายละเอียดสาเหตุในการระงับวีซ่าของอังกฤษ แต่มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า น่าจะมีเรื่องสงสัย “ฟอกเงิน” จากกรณีซื้อขายหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ประกอบกับข่าวคราวในเรื่องประเทศโน้นประเทศนี้แย่งกันเชิญไปเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ เชิญไปแก้ปัญหาความยากจน หรือบางประเทศเลยเถิดไปถึงขั้นจะให้ไปเป็นที่ปรึกษาเรื่อง “ออกหวย” หรือจะให้ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่นั่นก็มี
อนิจจาทุกอย่างโอละพ่อ เป็นข่าวที่กุขึ้นมาโกหกลวงโลกทั้งเพ คิดจะหลอกต้มคนไทยเพื่อสร้างเครดิตให้กับ ทักษิณ ทำให้เห็นว่าขณะที่ประเทศไทยไม่ต้องการ จะจับขังคุก แต่กลับมีหลายประเทศเป็นความสำคัญ ออกข่าวคราวกันครึกโครม แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมาตรงกันข้าม มันก็อับอายขายขี้หน้า
เวลานี้สถานะแท้จริงก็ไม่ต่างกับ “สัมภเวสี” ล่องลอยไปมา อยู่ฮ่องกง 10 วัน เผ่นไปดูไบ 10 วัน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เนื่องจากยังไม่มีประเทศไหนให้ลี้ภัย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นล้วนมีแต่ผลลบต่อ “ทักษิณ” ทั้งสิ้น ไม่มีผลบวก เสียทั้งเงิน เสียทั้งเครดิตตามมาเป็นพรวน แถมล่าสุดยังมีเรื่องต้อง “หย่าเมีย” แม้หลายคนวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งว่านี่เป็นแผนหลายชั้น เพื่อรักษาทรัพย์สินที่ถูกอายัดเอาไว้ส่วนหนึ่ง หรือส่งเมียเข้ามาบัญชาการเกมด้วยคัวเอง ไม่ต้องผ่านนายหน้าอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าการหย่ากับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่อยู่กินกันมานานหลายสิบปีจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนี่คือการหย่ากันจริง ภาพความเป็นแฟมิลีแมน คนรักครอบครัว จะถูกสังคม โดยเฉพาะบรรดารากหญ้าจะรู้สึกงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะที่ผ่านมาขนาดเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถูกรังแกจนลูกเมียไม่ได้อยู่พร้อมหน้า แต่มาวันนี้กลับหย่าขาดกันหน้าตาเฉย ภาพออกมาในโทน “เหลี่ยมจัด” ยิ่งเสียหาย
นี่ยังไม่กล่าวถึงเรื่องซุบซิบ “กุ๊กกิ๊ก” กับนักร้องดังที่มีเสียงเมาท์กันกระหึ่มเมือง แม้แต่สื่อต่างประเทศยังนำไปตีข่าว
เมื่อทุกอย่างสุกงอม ฝ่ายระบอบทักษิณกำลังเข้าตาจนทุกขณะ รุมเร้าเข้ามา มันก็ต้องดิ้นเฮือกสุดท้าย เพราะคงไม่สามารถหนีคุก เร่ร่อนอยู่ต่างประเทศไป 10-20 ปีคงเป็นไปไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าคิดจะสู้แบบแตกหัก คิดจะก่อสงครามประชาชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายมันก็ย่อมคิดหนักเหมือนกัน เพราะสถานการณ์ในวันนี้มันแตกต่างจากสมัยก่อน 19 กันยายนเกือบสิ้นเชิง เพราะคนรู้ทันมากขึ้น อัตราเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ส่วนในด้านของประชาชาชนที่ชุมนุมในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ถือว่าได้เดินมาถึงจุดสำคัญ เพราะจากการปักหลักชุมนุมมานานกว่า 6 เดือนมันถือว่ายาวนานเกินกว่าจะทนนั่งชู “มือตบ” กันในทำเนียบฯ โดยที่รัฐบาลทรราชไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังสร้างความเสียหายกับชาติบ้านเมืองไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป
และล่าสุดเมื่อมีการยิงระเบิดถล่มเข้ามากลางที่ชุมนุมทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ศพและได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 20 ราย ก็ทำให้ความอดทนต้อง “ขาดผึง” ลงในทันที ถึงเวลาต้องเป่านกหวีดระดมพลกันครั้งสุดท้าย วันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย. ทำทุกทางเพื่อขับไล่พวก “ฆาตกร” ออกไปให้จงได้ เพราะนี่คือภารกิจศักดิ์สิทธิ์
ครั้งนี้ต้องม้วนเดียวจบ จะยืดเยื้อต่อไปอีกไม่ได้
และนาทีนี้ไม่ต้องมาสาธยายกันให้เปลืองน้ำลาย วัดได้เสียกันไปเลย !!
ถ้าแพ้ก็เก็บข้าวของกลับบ้าน แม้ไม่ยากยกบ้านเมืองให้คนชั่วไปครอง แต่ในเมื่อสู้สุดกำลังแล้ว ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม !!