xs
xsm
sm
md
lg

แถลงการณ์ฉบับที่ 24/2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 เวลา 03.25 น. ได้เกิดเหตุคนในฝ่ายรัฐบาลไม่ทราบจำนวนใช้เครื่องยิงลูกระเบิดชนิด เอ็ม 79 ยิงเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยระเบิดตกลงบนหลังคาเต็นท์ผ้าใบของผู้ชุมนุม อยู่หน้าเวทีปราศรัย ผลจากแรงระเบิดทำให้สะเก็ดระเบิดกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ชื่อนายเจนกิจ กลัดสาคร บาดเจ็บสาหัส 2 ราย และบาดเจ็บอีก 21 ราย นับเป็นการเสียชีวิตเป็นรายที่ 3 จากการเข่นฆ่าประชาชนโดยฝ่ายรัฐบาล

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอแสดงความเสียใจ และไว้อาลัยให้แก่ครอบครัวและมิตรสหายของผู้วายชนม์ และขอประกาศอย่างเป็นทางการยกย่อง เชิดชู นายเจนกิจ กลัดสาคร ให้เป็นวีรชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนตลอดไป ตลอดจนขอแสดงความเสียใจกับผู้บาดเจ็บทุกคนในความกล้าหาญครั้งนี้

ทั้งนี้ การใช้อาวุธสงครามประเภทระเบิดในการเข่นฆ่าประชาชนผู้มาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรี ผู้สูงวัย และเยาวชน นั้นมิได้เกิดครั้งแรก หากแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ครั้งแล้วครั้งเล่าจาก เจ้าหน้าที่ของรัฐและอันธพาลของรัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิดทั้งสิ้น

ครั้งสุดท้ายเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 คนในฝ่ายรัฐบาลได้ยิงระเบิดใส่เต็นท์ผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ส่งหนังสือทันทีถึงผู้รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่นั้น คือ ผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน, แม่ทัพภาคที่ 1, ผู้บัญชาการกองพลที่ 1, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ให้ช่วยกันหยุดยั้งการใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนใจกลางพระนคร แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดได้หยุดยั้งการใช้อาวุธสงครามต่อผู้ชุมนุมได้แต่ประการใด

การใช้อาวุธสงครามประเภทระเบิดที่ใช้กับผู้ชุมนุมที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นฝ่ายรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกราชการและในราชการที่มีส่วนและรู้เห็นเป็นใจในการยิงระเบิดอาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน

ทั้งนี้เพราะถ้าตำรวจไม่ร่วมมือหรือรู้เห็นเป็นใจก็จะไม่สามารถที่จะนำอาวุธสงครามประเภทนี้เข้ามาในใจกลางเมืองหลวง เพื่อทำร้ายผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในทำเนียบรัฐบาลได้

ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และนายตำรวจอีกหลายนาย ต่างรู้เห็นเป็นใจและสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลในการเข่นฆ่าประชาชนที่มาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่ในการปกป้องราชบัลลังก์ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาชุมนุมเพื่อตรวจสอบรัฐบาล และปกป้อง ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกรัฐบาลใช้อำนาจรัฐและใช้อำนาจมืดมาเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม การชุมนุมในการขับไล่รัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิด และการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยังไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายและไว้วางใจได้ เพราะสภาทาสของระบอบทักษิณก็ยังยืนยันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง และเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างสถาบันองคมนตรีอันเป็นการลดพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่สามารถที่จะยอมให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน

จากสถานการณ์ดังกล่าว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงไม่สามารถใช้สิทธิการชุมนุมในที่ตั้งโดยปล่อยให้รัฐบาลเข่นฆ่าประชาชนรายวัน โดยไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยหรือรับผิดชอบจากเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกต่อไป

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่อาจอดทนต่อรัฐบาลฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชนทุกวันอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม และไม่อาจยอมรับสภาทาสของระบอบทักษิณได้อีกต่อไป

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ระดมมวลชนครั้งใหญ่ ณ ทำเนียบรัฐบาล ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไปเพื่อ “เผด็จศึก” เคลื่อนขบวนต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หน้ารัฐสภา หยุดอำนาจรัฐบาลทรราชฆาตรกรหุ่นเชิด และหยุดสภาทาสระบอบทักษิณทุกรูปแบบ และทุกวิถีทาง

จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าร่วมชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์มาใช้สิทธิ โดยทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2551 มาตรา 70 ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จนกว่าสังคมไทยจะได้รับชัยชนะ

ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
กำลังโหลดความคิดเห็น