xs
xsm
sm
md
lg

ทัพหลวงสงครามสารสนเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: ว.ร.ฤทธาคนี

เป็นเรื่องน่าเศร้าของคนไทยยุค 2550 ที่อยู่ในบรรยากาศความเศร้าโศกอันเกิดจากความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงยิ่งนัก เมื่อสมเด็จพระพี่นางฯ เสด็จสู่สวรรคาลัย และยิ่งเมื่อเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงเสียสละพระกำลังทุกด้าน สร้างสรรค์ให้สังคมไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนับพันโครงการที่เป็นประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะทรงอุปถัมภ์เด็กเล็กที่อยู่ในแหล่งชุมชนในกรุงเทพมหานครให้มีโอกาสในการพัฒนาความเป็นอยู่และสติปัญญาทัดเทียมกับเด็กอื่น

นอกจากนี้แล้วก็เกิดความโกรธแค้น อาฆาตมาดร้าย และอาศัยทั้งไสยศาสตร์เข่นฆ่ากันและกัน ไม่รู้ใครเป็นใคร เกิดความทุกข์ใจเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เพราะผู้บริหารประเทศมุ่งเน้นที่จะทำกิจเฉพาะบุคคลให้สำเร็จมากกว่าที่กระทำเพื่อส่วนรวม

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า บรรยากาศเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนไทยให้ตกต่ำ และไม่เคยมีประวัติศาสตร์ชาติไทยที่บรรยากาศการเมืองและความเป็นอยู่ของคนไทยจะมีวิสามัญวิกฤตเช่นนี้ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ขาดหลักจาคะ และยึดถืออัตตานิยมคติอย่างมุ่งมั่นไม่ยอมรับความจริงที่ตัวเองเป็นผู้ก่อขึ้น

หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เดินหน้าทำสงครามการเมืองอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน และในสงครามการเมืองนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกได้กำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์สงครามสารสนเทศไว้ชัดเจน เช่น การว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้โฆษณาชวนเชื่อและเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการลงทุน เช่น ตัวอย่างการลงทุนในจีน พ.ต.ท.ทักษิณ ลงทุนอย่างเต็มที่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ และสนามกอล์ฟซึ่งเป็นที่มาของการเชิญชวน พ.ต.ท.ทักษิณ ไปลงทุนในบาฮามาส และโบลิเวีย

จากวลี “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” และ “ชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์” หรือ Elite จากรากศัพท์ภาษาละตินแปลว่า “คนกลุ่มเล็กๆ ในกลุ่มใหญ่ มีสิทธิพิเศษเหนือคนที่มีฐานะทางสังคมต่ำกว่า” พวกบอลเชวิคชอบใช้โดยอิงจากปฏิวัติฝรั่งเศส ครั้นเมื่อเป็นข่าวและวลีนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว สร้างผลกระทบเชิงการเมืองที่ชี้นำว่า การเมืองไทยมีมาตรฐานต่ำและล้าหลัง ซึ่งเป็นอุปสรรคในการบริหารประเทศ และเป็นผลให้เขาถูกโค่นอำนาจ

เมื่อถูกพิพากษาให้มีโทษจำคุก 2 ปี เพราะกระทำผิดกฎหมายในการซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก เขาก็ยังโพนทะนาว่าถูกพิษการเมืองเล่นงานเพื่อให้หลายประเทศที่ยังด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนามองว่า เขาถูกรังแก และด้วยเงินทุนในการทำโฆษณาชวนเชื่อทำให้ประเทศบาฮามาสหรือโบลิเวียมองอนาคตว่า มีเศรษฐีนักการเมืองไทยผู้มีเงินล้นฟ้า จะหอบเงินมาลงทุนถึงกับเสนอตัวให้เข้ามาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ โดยเฉพาะรัฐบาลบาฮามาส

บาฮามาสเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียนที่โคลัมบัสค้นพบใน ค.ศ. 1492 มีประชากร 300,000 กว่าคน มีเนื้อที่ 13,940 ตารางกิโลเมตร ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษใน ค.ศ. 1973 มีสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 เป็นประมุข แต่มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้แทนพระองค์ทำหน้าที่เป็นคนกลางแก้ปัญหาทางตันทางการเมือง และใช้อำนาจรัฐธรรมนูญแต่งตั้งผู้มีอำนาจรัฐ 3 สาขา คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ รวมทั้งมีอำนาจอภัยโทษ เป็นรัฐประชาธิปไตยไม่ขึ้นกับอังกฤษ นโยบายของบาฮามาสอังกฤษไม่เกี่ยวกันเพราะภาษาอังกฤษในรัฐธรรมนูญที่ว่า The Common Wealth of Bahamas Shall be Democratic State ปัจจุบันมีนายกรัฐมนตรีเป็นคนผิวสีคนแรกที่บริหารประเทศ รายได้หลักจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 60 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP และการบริการธนาคารโพ้นทะเล บาฮามาสต้องการเงินมาลงทุนและเป็นเครือจักรภพประเภท 2

ปัจจุบันคนบาฮามาสไม่ใช่ประชาชนอังกฤษเพราะเกิดทีหลังปี ค.ศ.1924 ส่วนโบลิเวียเป็นประเทศในอเมริกาใต้ตอนกลาง กำลังเกิดปัญหากับสหรัฐฯเพราะรัฐบาลนายอีโว โมราเลส สนับสนุนการปลูกโคเคนซึ่งเป็นต้นกำเนิดยาเสพติดโคเคนที่ระบาดหนักในสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ตัดเงินช่วยเหลือโบลิเวีย จึงต้องการเงินจากภายนอกมาลงทุนทั้งสองประเทศ จึงเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณมาลงทุนหรืออาจเป็นที่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

ในขั้นต้นสงครามสารสนเทศประสบความสำเร็จนอกประเทศ แต่สงครามแตกหักต้องเกิดขึ้นในไทยจึงจะประสบชัยชนะ จึงเลือกเปิดศึกขั้นแตกหักชนิดไม่ชนะไม่เลิก โดยโฟนอิน 1 พฤศจิกายน เป็นเพียงศึกทัพหน้า แต่โฟนอินครั้งที่ 2 กำหนดในวันที่ 13 ธันวาคมที่จะถึงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังตัดสินใจที่จะเข้ามาบัญชาการสงครามสารสนเทศที่สามารถพัฒนาเป็นสงครามร้อนกลางเมือง และจะใช้ความรุนแรงของสงครามร้อนต่อรองกับคนไทยทั้งชาติ

เกมการเมืองกระดานร้อนจะกลายเป็นสงครามร้อนกลางเมืองได้ เพราะปัจจุบันมีทหารรับจ้าง มีนักฉวยโอกาสและผู้หิวโหยเงินตราและอำนาจรัฐอยู่มากมายที่จะสนองความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ในการชิงอำนาจรัฐให้กลับมาเป็นของตัว

การโฟนอินครั้งที่ 2 จึงเปรียบเสมือนทัพหลวงสงครามสารสนเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณที่แม่ทัพพร้อมที่จะเสี่ยงทุกรูปอย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว” และการนำทัพหลวงที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณจะบัญชาการเองจะเป็นเรื่องที่ประวัติศาสตร์ไทยจะต้องจารึกไว้แน่นอน เพราะว่าจะเกิดความรุนแรง และเกิดความเสียหายมากมายแน่นอน เพราะทุกวันนี้ก็มีหน่วยย่อยทำขวัญคนไทยด้วยการยิงลูกระเบิด M 79 ไปยังฝูงชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตายแล้วอย่างน้อย 1 ศพ ในวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หรืออาจจะเรียกว่ากลยุทธ์ข่มขู่ทำลายขวัญศัตรู

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีเพียงครั้งเดียวที่ผู้มีอำนาจรัฐถูกผลักดันให้ออกจากประเทศแล้วกลับเข้ามาด้วยกำลังอาวุธแล้วหวังล้มรัฐบาล คือ ช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกท่านปรีดี พนมยงค์ พร้อมด้วยทหารเรือบางกลุ่มและนักการเมืองที่เป็นอดีตเสรีไทยทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏวังหลวงใน พ.ศ. 2492 แต่แนวทางการแย่งชิงอำนาจรัฐของท่านปรีดี พนมยงค์ นั้นมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจนที่ต้องการจะสร้างเสรีประชาธิปไตยเชิงสังคมนิยม ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเช่น พฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ และขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กรุณาเลิกล้มความคิดทำลายล้างสังคมไทยและใช้เหตุผลหรือต่อสู้ด้วยสัจธรรม หรือยอมเสียสละทิ้งอัตตากิเลสนั้นเสีย เพราะไม่นานความทุกข์ก็จะหายไป เช่นเดียวกับมหาบุรุษหลายคนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคหลัง พ.ศ. 2475 รวมทั้งท่านปรีดีด้วยที่ยอมเสียสละเพื่อคนหมู่มาก
กำลังโหลดความคิดเห็น