ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – แบงก์เข้มสินเชื่อ ปรับกระบวนการปล่อยกู้ จี้ติดลูกค้าแบบ “งวดต่องวด” หลังวิกฤตเศรษฐกิจลาม ขณะที่กลุ่ม NOHMEX รับออเดอร์ปีหน้าหายไม่น้อยกว่า 30% - มาร์จิ้นลด – ต้นทุนงานแฟร์พุ่ง คาดปีหน้ามีสิทธิ์เลวร้ายกว่านี้อีกเพียบ ล่าสุดต้องหันมาเวียนเทียนขายในประเทศแก้วิกฤตเฉพาะหน้าก่อน
นายประสิทธิ์ พรินทร์ ประธานชมรมธนาคารจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกนั้น ในส่วนของภาคเหนือได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ และอัญมณี ซึ่งตลาดส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกออเดอร์ สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2552 ทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถประมาณการความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เพราะมีมูลค่ามหาศาล แต่คาดว่าหากสิ้นปี 2551 แล้วน่าจะประเมินได้
ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาความช่วยเหลือในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ได้พยายามปล่อยสินเชื่อให้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งที่ผ่านมาจากสถิติจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2551 ได้ปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 93,000 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า การปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่จะเน้นที่ผู้ประกอบการเดิม และพิจารณาปล่อยให้ในแบบงวดต่องวด นั่นหมายถึงการประเมินสินเชื่อให้ลูกค้าเป็นงวด ๆ ว่าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ แต่จากการประเมินคาดว่าการปล่อยสินเชื่อจะโตขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2552 เพราะหลายธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ที่มีนโยบายเร่งปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเสริมสภาพคล่องอยู่แล้ว
“จังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณเงินฝากรวม 103,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่การปล่อยสินเชื่อก็สูงเกือบแสนล้านบาท ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะโตต่อเนื่อง ซึ่งหากเป็นไปอย่างนี้ผู้ประกอบการน่าจะประคองตัวไปได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากมีการเสริมสภาพคล่องจากภาคธนาคาร” นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายสุคิน วงศ์ษา ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตและส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ (NOHMEX) เปิดเผยว่า ในกลุ่ม NOHMEX ที่มีสมาชิกกว่า 250 บริษัท ในปีหน้า (2552) เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะตลาดส่งออกส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดอยู่ที่ยุโรป – อเมริกา ที่ขณะนี้มีสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ออเดอร์ลดลงแน่นอน เฉพาะไตรมาสสุดท้ายนี้ก็มีปรากฏให้เห็นแล้ว เช่น คอนแทร็กที่เคยมี 3 รอบต่อปี ก็อาจจะลดลงเหลือ 1-2 รอบเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องมาร์จิ้นที่จะลดลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาท ที่ก่อนหน้านี้เคยคาดหมายกันว่า จะแข็งค่าสูงสุดไม่น่าจะเกิน 35 บาท/ดอลลาร์ แต่ก็แข็งไปถึง 32 บาทเศษ/ดอลลาร์ ทำให้ผลกำไรต่อหน่วยลดลง ยอดขายที่เคยได้จากตลาดนักท่องเที่ยว ก็ลดลงตามการท่องเที่ยว ซึ่งอย่างน้อยขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น – เกาหลี ก็ห้ามคนของเขาเข้ามาเที่ยวไทยแล้ว ตลอดจนกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป-อเมริกา แม้จะไม่มีคำสั่งห้าม แต่เมื่อเศรษฐกิจภายในมีปัญหา นักท่องเที่ยวก็ลดลงโดยปริยายอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันต้นทุนการออกงานแฟร์ก็สูงมากขึ้น จากเดิมที่เคยใช้งบประมาณ 4-5 พันเหรียญ/บูท ยังคุ้ม แต่ปัจจุบันยอดขายลดลงค่าใช้จ่ายระดับนี้ก็ถือว่า ไม่คุ้มกับการลงทุนแล้ว ลูกค้าส่วนหนึ่งก็หันไปสั่งซื้อผ่าน Ecommerce กันมากขึ้นด้วย Importer เองก็หันไปสั่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าแทนมากขึ้น
“เห็น ๆ ตอนนี้ก็คือ ออเดอร์จะหายไปไม่น้อยกว่า 30% เป็นอย่างต่ำ จากที่เคยมียอดส่งออกไม่น้อยกว่า 3-4 พันล้านบาท/ปี ซึ่งตัวเลขอาจจะสูงกว่านี้อีก โดยจะทราบทิศทางแน่นอนช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า”
นายสุคิน บอกว่า การทำตลาดใหม่ขณะนี้ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ตลาดเก่าที่เคยค้าขายกันมานานยังรักษากันไม่ได้ ตลาดใหม่ เป็นเรื่องพูดง่าย แต่ทำยาก ต้องลงทุนสูง ซึ่งหากรัฐบาลเป็นผู้ลงทุนนำเอกชนไป Road Show อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานาน และรัฐบาลเองก็ดูเหมือนจะไม่มองในกรณีนี้ เช่น กรณีของรัสเซีย ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ และถือเป็นตลาดใหม่ในช่วงที่ยังมีปัญหาระบบการเงิน รัฐไทยไม่เคยให้การส่งเสริม แต่มาถึงตอนนี้เสถียรภาพทางการเงินของรัสเซียดีขึ้น ผู้ผลิตทั่วโลกเข้าไปเต็มหมดแล้ว ไทยเราจะเข้าไปก็เป็นเรื่องยากขึ้น หมายถึง ช้าไปแล้ว
ทางออกเบื้องต้นที่ทำกันได้ตอนนี้ “การเวียนเทียน” กันขายในประเทศ โดยแต่ละท้องถิ่นจัดงานขึ้นมารองรับ ให้ผู้ประกอบการจากแต่ละจังหวัดออกร้าน เพื่อประคองให้ธุรกิจอยู่รอดเฉพาะหน้านี้ไปก่อนเท่านั้น ซึ่งเขาเชื่อว่า ผู้ประกอบการในเครือข่าย NOHMEX จะยังอยู่รอดได้ เพราะผ่านประสบการณ์วิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง ทั้งกรณีลดค่าเงินบาทปี 40 , วิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน ต่อเนื่องมาถึงแฮมเบอร์เกอร์ไครซีส
นายประสิทธิ์ พรินทร์ ประธานชมรมธนาคารจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกนั้น ในส่วนของภาคเหนือได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ และอัญมณี ซึ่งตลาดส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกออเดอร์ สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2552 ทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถประมาณการความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เพราะมีมูลค่ามหาศาล แต่คาดว่าหากสิ้นปี 2551 แล้วน่าจะประเมินได้
ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาความช่วยเหลือในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ได้พยายามปล่อยสินเชื่อให้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งที่ผ่านมาจากสถิติจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2551 ได้ปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 93,000 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า การปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่จะเน้นที่ผู้ประกอบการเดิม และพิจารณาปล่อยให้ในแบบงวดต่องวด นั่นหมายถึงการประเมินสินเชื่อให้ลูกค้าเป็นงวด ๆ ว่าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ แต่จากการประเมินคาดว่าการปล่อยสินเชื่อจะโตขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2552 เพราะหลายธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ที่มีนโยบายเร่งปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเสริมสภาพคล่องอยู่แล้ว
“จังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณเงินฝากรวม 103,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่การปล่อยสินเชื่อก็สูงเกือบแสนล้านบาท ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะโตต่อเนื่อง ซึ่งหากเป็นไปอย่างนี้ผู้ประกอบการน่าจะประคองตัวไปได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากมีการเสริมสภาพคล่องจากภาคธนาคาร” นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายสุคิน วงศ์ษา ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตและส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ (NOHMEX) เปิดเผยว่า ในกลุ่ม NOHMEX ที่มีสมาชิกกว่า 250 บริษัท ในปีหน้า (2552) เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะตลาดส่งออกส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดอยู่ที่ยุโรป – อเมริกา ที่ขณะนี้มีสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ออเดอร์ลดลงแน่นอน เฉพาะไตรมาสสุดท้ายนี้ก็มีปรากฏให้เห็นแล้ว เช่น คอนแทร็กที่เคยมี 3 รอบต่อปี ก็อาจจะลดลงเหลือ 1-2 รอบเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องมาร์จิ้นที่จะลดลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาท ที่ก่อนหน้านี้เคยคาดหมายกันว่า จะแข็งค่าสูงสุดไม่น่าจะเกิน 35 บาท/ดอลลาร์ แต่ก็แข็งไปถึง 32 บาทเศษ/ดอลลาร์ ทำให้ผลกำไรต่อหน่วยลดลง ยอดขายที่เคยได้จากตลาดนักท่องเที่ยว ก็ลดลงตามการท่องเที่ยว ซึ่งอย่างน้อยขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น – เกาหลี ก็ห้ามคนของเขาเข้ามาเที่ยวไทยแล้ว ตลอดจนกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป-อเมริกา แม้จะไม่มีคำสั่งห้าม แต่เมื่อเศรษฐกิจภายในมีปัญหา นักท่องเที่ยวก็ลดลงโดยปริยายอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันต้นทุนการออกงานแฟร์ก็สูงมากขึ้น จากเดิมที่เคยใช้งบประมาณ 4-5 พันเหรียญ/บูท ยังคุ้ม แต่ปัจจุบันยอดขายลดลงค่าใช้จ่ายระดับนี้ก็ถือว่า ไม่คุ้มกับการลงทุนแล้ว ลูกค้าส่วนหนึ่งก็หันไปสั่งซื้อผ่าน Ecommerce กันมากขึ้นด้วย Importer เองก็หันไปสั่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าแทนมากขึ้น
“เห็น ๆ ตอนนี้ก็คือ ออเดอร์จะหายไปไม่น้อยกว่า 30% เป็นอย่างต่ำ จากที่เคยมียอดส่งออกไม่น้อยกว่า 3-4 พันล้านบาท/ปี ซึ่งตัวเลขอาจจะสูงกว่านี้อีก โดยจะทราบทิศทางแน่นอนช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า”
นายสุคิน บอกว่า การทำตลาดใหม่ขณะนี้ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ตลาดเก่าที่เคยค้าขายกันมานานยังรักษากันไม่ได้ ตลาดใหม่ เป็นเรื่องพูดง่าย แต่ทำยาก ต้องลงทุนสูง ซึ่งหากรัฐบาลเป็นผู้ลงทุนนำเอกชนไป Road Show อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานาน และรัฐบาลเองก็ดูเหมือนจะไม่มองในกรณีนี้ เช่น กรณีของรัสเซีย ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ และถือเป็นตลาดใหม่ในช่วงที่ยังมีปัญหาระบบการเงิน รัฐไทยไม่เคยให้การส่งเสริม แต่มาถึงตอนนี้เสถียรภาพทางการเงินของรัสเซียดีขึ้น ผู้ผลิตทั่วโลกเข้าไปเต็มหมดแล้ว ไทยเราจะเข้าไปก็เป็นเรื่องยากขึ้น หมายถึง ช้าไปแล้ว
ทางออกเบื้องต้นที่ทำกันได้ตอนนี้ “การเวียนเทียน” กันขายในประเทศ โดยแต่ละท้องถิ่นจัดงานขึ้นมารองรับ ให้ผู้ประกอบการจากแต่ละจังหวัดออกร้าน เพื่อประคองให้ธุรกิจอยู่รอดเฉพาะหน้านี้ไปก่อนเท่านั้น ซึ่งเขาเชื่อว่า ผู้ประกอบการในเครือข่าย NOHMEX จะยังอยู่รอดได้ เพราะผ่านประสบการณ์วิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง ทั้งกรณีลดค่าเงินบาทปี 40 , วิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน ต่อเนื่องมาถึงแฮมเบอร์เกอร์ไครซีส
