นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวภายหลังการประชุม กกต. ว่า วันนี้(6 พ.ย.) ที่ประชุม กกต.มีมติให้ยุบพรรค การเมือง จำนวน 10 พรรค ประกอบไปด้วย พรรคสตรีเพื่อชาติ พรรคไทยภูพาน พรรคไทยร่ำรวย พรรคกฤษไทยมั่นคง พรรคสู้เพื่อไทย พรรคเอกราช พรรคพลังเกษตรกร พรรคอยู่ดีมีสุข พรรคสังคมไท และพรรคอธิปไตย เนื่องจาก พรรคการเมืองดังกล่าว ไม่รายงานการดำเนินกิจการ ของพรรคการเมือง ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามมาตรา 42 ประกอบกับมาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
โดยหลังจากนี้ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพรรคสู้เพื่อไทย ที่ กกต.มีมติให้ยุบพรรค เป็นพรรคเก่าที่มีอยู่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ใช้ชื่อพรรคเกษตรกรไทย และพึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลง กรรมการบริหาร และชื่อพรรค จากพรรคเกษตรไทย มาเป็นพรรคสู้เพื่อไทย เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2551 ที่ผ่านมา ซึ่งมีนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้าพรรค นายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ เป็นเลขาธิการพรรค และมีสัญลักษณ์รูปกำปั้น มีสโลแกนว่า แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ทั้งนี้พรรคดังกล่าว นายชูวิทย์ จดแจ้งไว้ เพื่อเตรียมส่งผู้ลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีดังกล่าวเป็นความผิดของกรรมการบริหารพรรค ชุดเก่า ที่ไม่ได้รายงานการดำเนินงานผ่านที่ประชุมใหญ่ของพรรค ซึ่งไม่เกี่ยวกับ นายชูวิทย์ ที่พึ่งเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต่อ ดังนั้นนายชูวิทย์ก็ ไม่ต้องรับโทษที่ห้ามกรรมการบริหารพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบไปจัดตั้งพรรคหรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองอื่นไม่ได้เป็นเวลา 5 ปี
โดยหลังจากนี้ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพรรคสู้เพื่อไทย ที่ กกต.มีมติให้ยุบพรรค เป็นพรรคเก่าที่มีอยู่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ใช้ชื่อพรรคเกษตรกรไทย และพึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลง กรรมการบริหาร และชื่อพรรค จากพรรคเกษตรไทย มาเป็นพรรคสู้เพื่อไทย เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2551 ที่ผ่านมา ซึ่งมีนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้าพรรค นายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ เป็นเลขาธิการพรรค และมีสัญลักษณ์รูปกำปั้น มีสโลแกนว่า แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ทั้งนี้พรรคดังกล่าว นายชูวิทย์ จดแจ้งไว้ เพื่อเตรียมส่งผู้ลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีดังกล่าวเป็นความผิดของกรรมการบริหารพรรค ชุดเก่า ที่ไม่ได้รายงานการดำเนินงานผ่านที่ประชุมใหญ่ของพรรค ซึ่งไม่เกี่ยวกับ นายชูวิทย์ ที่พึ่งเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต่อ ดังนั้นนายชูวิทย์ก็ ไม่ต้องรับโทษที่ห้ามกรรมการบริหารพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบไปจัดตั้งพรรคหรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองอื่นไม่ได้เป็นเวลา 5 ปี
