ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง สำรวจแนวคิดของสาธารณชนต่อ ทางออกของวิกฤตการณ์ ทางการเมืองไทย กรณีศึกษาประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯและจังหวัดปริมณฑล จำนวนตัวอย่างท1,511 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 22 - 25 ตุลาคม 2551 ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์
สำหรับความรู้สึกของประชาชนที่ถูกศึกษาต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.3 มีความเชื่อเรื่องบาปบุญ คุณโทษ และกฎแห่งกรรมมากขึ้นระดับมากถึงมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.1 มีความเครียดต่อเรื่องการเมืองระดับมาก ถึงมากที่สุด ในขณะที่ ร้อยละ 44.4 เห็นด้วยกับแนวคิดการเมืองใหม่ การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งระดับมาก ถึงมากที่สุด ร้อยละ 43.7 มีความเคลือบแคลงสงสัยอย่างมาก ถึงมากที่สุดต่อตัว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในเรื่องความเกี่ยวข้อง เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุน กลุ่มการเมือง พรรคพวก ญาติพี่น้องของตนเอง นอกจากนี้ ร้อยละ 43.0 อยากให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติระดับมาก ถึงมากที่สุด
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นทางออกของวิกฤตการณ์ การเมืองไทยในขณะนี้ ที่โดนใจ (ตรงกับความต้องการที่อยู่ในใจ) ของประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.7 คือ ให้ประชาชนคนไทยทุกคนปฏิบัติตนด้วยความรักความสามัคคี เกื้อกูลกัน รองลงมาคือ ร้อยละ 91.4 ระบุทางออกคือ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย หันหน้าจับมือกันต่อหน้าสาธารณชน ร่วมกันแก้ปัญหาชาติ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.6 ระบุทางออกคือ ยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ตามตัวบทกฎหมาย
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 ระบุให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชน และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.8 ระบุให้ทุกฝ่าย ยอมรับคำตัดสินของศาลกรณีคดีที่ดินรัชดา ในขณะที่ ร้อยละ 57.9 ระบุทางออก ของวิกฤตการณ์การเมืองขณะนี้คือ การเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาคือ ผลสำรวจพบว่า ก่ำกึ่งกันหรือ ร้อยละ 49.4 ต่อร้อยละ 50.6 ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือทางออก เช่นเดียวกับ เสียงของประชาชนที่ค้นพบครั้งนี้ร้อยละ 48.7 ระบุนายกรัฐมนตรีควรลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีเหตุปะทะกันเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่ร้อยละ 51.3 ระบุไม่ใช่ทางออก
นอกจากนี้ ร้อยละ 58.9 ระบุการนิรโทษกรรมให้ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย 111 คนไม่ใช่ทางออก แต่ร้อยละ 41.1 ระบุว่าการนิรโทษกรรมดังกล่าวคือทางออก และที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.5 ระบุการยึดอำนาจ หรือการปฏิวัติไม่ใช่ทางออกที่โดนใจประชาชนขณะนี้ แต่ร้อยละ 23.5 ระบุว่าการยึดอำนาจ หรือการปฏิวัติคือทางออก
ดร.นพดล เปิดเผยด้วยว่า การสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามประชาชนถึง บุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์วิกฤตการเมืองปัจจุบัน พบข้อมูลที่น่าพิจารณาอีกคือ ร้อยละ 24.0 ระบุเป็น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และร้อยละ 24.0 เท่ากันระบุเป็น นายอานันท์ ปันยารชุน ในขณะที่ร้อยละ 18.2 ระบุเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 12.7 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 5.3 ระบุเป็น นายชวน หลีกภัย และร้อยละ 2.3 ระบุเป็น นายบรรหาร ศิลปอาชา ที่เหลือร้อยละ 13.5 ระบุอื่นๆ
ดร.นพดล กล่าวว่า ทางออกที่ดีที่สุดของวิกฤตการณ์การเมืองไทยและโดนใจประชาชนส่วนใหญ่ในผลสำรวจครั้งนี้คือ การที่ประชาชนทุกคนปฏิบัติตนด้วยความรักความสามัคคี เกื้อกูลกัน และกลุ่มเคลื่อนไหวทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายหันหน้าจับมือกันต่อหน้าสาธารณชน ร่วมกันแก้ปัญหาบ้านเมือง ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการลาออกของนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้แล้วเพราะเสียงสำรวจออกมาก่ำกึ่งกัน คือตัวเลขที่พบไม่แตกต่างกันในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจท่ามกลางความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ทางออกที่ค้นพบดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับผลวิจัยที่เคยทำระดับประเทศและเฉพาะพื้นที่บางจังหวัดแต่อาจเป็นนามธรรมและสู่ความสำเร็จได้ยาก จึงเสนอ โรดแมป เชื่อมประสานอำนาจรัฐแก้วิกฤตการเมือง ที่น่าจะเป็นรูปธรรมมากกว่าแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายการเมืองและประชาชนทั่วไปว่าจะก้าวเดินไปตามแนวทางนี้หรือไม่
ก้าวแรก เริ่มจากการมองแง่มุมที่ดีงามของทั้งฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีความรักชาติ และมุ่งมั่นในการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างเข้มข้น ให้อยู่บนความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ในขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็มีจุดดีเรื่องการรักษาระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล ซึ่งทั้งสองฝ่ายเป็นการเมืองภาคประชาชนที่ควรหนุนเสริมให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น แต่ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของทั้งสองกลุ่มต้องไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
ก้าวที่สองคือ จากผลสำรวจครั้งนี้ เสนอให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสร้างความ ปรองดองของคนในชาติ มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีดูแลภาพรวมทั้งประเทศอย่างเท่าเทียมและใจกว้างปกป้องรักษากระบวน การยุติธรรม แต่เน้นดูแลความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และน่าจะลองชวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลความอยู่ดีกินดีของประชาชนในภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร ส่วนนายบรรหาร ศิลปอาชา น่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในภาคกลาง โดย นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านความรักความสามัคคีและสมานฉันท์ของคนในชาติ
นอกจากนี้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ น่าจะอาสามาดูแลเรื่องการจัดระเบียบสังคมอย่างบูรณาการแก้ปัญหาสังคมทั้งระบบของประเทศ ในขณะที่ กองทัพคงจะมุ่งมั่นดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง โดยเป็นกองทัพที่อยู่เคียงข้างประชาชนแบบไม่เลือกข้าง เป็นกองทัพของประชาชนทั้งประเทศ
ส่วนการแก้วิกฤตเศรษฐกิจให้ช่วยกันระหว่างทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเก่งด้วยกันทั้งสองฝ่าย มาช่วยกันให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศไปก่อนแล้วค่อยเริ่มต้น แข่งขันทำงานทางการเมืองกันใหม่ด้วยการยุบสภาเลือกตั้งกันอย่างบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม บนพื้นฐานการเมืองใหม่บนหลักธรรมาภิบาลเคร่งครัดต่อจริยธรรมทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ถ้าแนวคิดข้างต้นเป็นไปไม่ได้ ก็คงต้องอาศัยการทำงานของกระบวนการยุติธรรมที่ทำงานได้ตรงกับจังหวะเหตุการณ์ของบ้านเมืองพิจารณายุบ หรือไม่ยุบพรรคการเมืองเพื่อคลี่คลายบรรยากาศอึมครึมทางการเมือง หรืออีกทาง เลือกหนึ่งคือ รัฐบาลอาจพิจารณายุบสภาเลือกตั้งใหม่ทันที คืนอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศตัดสินใจอีกครั้งโดยเร็ว ก่อนที่ ทางเลือกของการยุบสภานี้จะไม่เหมาะกับสถานการณ์การเมืองอีกเพราะความขัดแย้งของคนภายในประเทศจะรุนแรงบานปลาย เกินขอบเขตทางเลือกในการแก้ปัญหาตามปกติในระบอบประชาธิปไตยจะทำได้ และประชาชน จำนวนมากอาจแสวงหาทางออกที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ทางออกที่ดีแต่เป็นทางออกที่จำเป็นต่อสถานการณ์ แต่ก็จะเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนที่ต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงได้
สำหรับความรู้สึกของประชาชนที่ถูกศึกษาต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.3 มีความเชื่อเรื่องบาปบุญ คุณโทษ และกฎแห่งกรรมมากขึ้นระดับมากถึงมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.1 มีความเครียดต่อเรื่องการเมืองระดับมาก ถึงมากที่สุด ในขณะที่ ร้อยละ 44.4 เห็นด้วยกับแนวคิดการเมืองใหม่ การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งระดับมาก ถึงมากที่สุด ร้อยละ 43.7 มีความเคลือบแคลงสงสัยอย่างมาก ถึงมากที่สุดต่อตัว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในเรื่องความเกี่ยวข้อง เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุน กลุ่มการเมือง พรรคพวก ญาติพี่น้องของตนเอง นอกจากนี้ ร้อยละ 43.0 อยากให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติระดับมาก ถึงมากที่สุด
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นทางออกของวิกฤตการณ์ การเมืองไทยในขณะนี้ ที่โดนใจ (ตรงกับความต้องการที่อยู่ในใจ) ของประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.7 คือ ให้ประชาชนคนไทยทุกคนปฏิบัติตนด้วยความรักความสามัคคี เกื้อกูลกัน รองลงมาคือ ร้อยละ 91.4 ระบุทางออกคือ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย หันหน้าจับมือกันต่อหน้าสาธารณชน ร่วมกันแก้ปัญหาชาติ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.6 ระบุทางออกคือ ยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ตามตัวบทกฎหมาย
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 ระบุให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชน และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.8 ระบุให้ทุกฝ่าย ยอมรับคำตัดสินของศาลกรณีคดีที่ดินรัชดา ในขณะที่ ร้อยละ 57.9 ระบุทางออก ของวิกฤตการณ์การเมืองขณะนี้คือ การเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาคือ ผลสำรวจพบว่า ก่ำกึ่งกันหรือ ร้อยละ 49.4 ต่อร้อยละ 50.6 ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือทางออก เช่นเดียวกับ เสียงของประชาชนที่ค้นพบครั้งนี้ร้อยละ 48.7 ระบุนายกรัฐมนตรีควรลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีเหตุปะทะกันเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่ร้อยละ 51.3 ระบุไม่ใช่ทางออก
นอกจากนี้ ร้อยละ 58.9 ระบุการนิรโทษกรรมให้ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย 111 คนไม่ใช่ทางออก แต่ร้อยละ 41.1 ระบุว่าการนิรโทษกรรมดังกล่าวคือทางออก และที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.5 ระบุการยึดอำนาจ หรือการปฏิวัติไม่ใช่ทางออกที่โดนใจประชาชนขณะนี้ แต่ร้อยละ 23.5 ระบุว่าการยึดอำนาจ หรือการปฏิวัติคือทางออก
ดร.นพดล เปิดเผยด้วยว่า การสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามประชาชนถึง บุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์วิกฤตการเมืองปัจจุบัน พบข้อมูลที่น่าพิจารณาอีกคือ ร้อยละ 24.0 ระบุเป็น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และร้อยละ 24.0 เท่ากันระบุเป็น นายอานันท์ ปันยารชุน ในขณะที่ร้อยละ 18.2 ระบุเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 12.7 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 5.3 ระบุเป็น นายชวน หลีกภัย และร้อยละ 2.3 ระบุเป็น นายบรรหาร ศิลปอาชา ที่เหลือร้อยละ 13.5 ระบุอื่นๆ
ดร.นพดล กล่าวว่า ทางออกที่ดีที่สุดของวิกฤตการณ์การเมืองไทยและโดนใจประชาชนส่วนใหญ่ในผลสำรวจครั้งนี้คือ การที่ประชาชนทุกคนปฏิบัติตนด้วยความรักความสามัคคี เกื้อกูลกัน และกลุ่มเคลื่อนไหวทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายหันหน้าจับมือกันต่อหน้าสาธารณชน ร่วมกันแก้ปัญหาบ้านเมือง ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการลาออกของนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้แล้วเพราะเสียงสำรวจออกมาก่ำกึ่งกัน คือตัวเลขที่พบไม่แตกต่างกันในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจท่ามกลางความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ทางออกที่ค้นพบดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับผลวิจัยที่เคยทำระดับประเทศและเฉพาะพื้นที่บางจังหวัดแต่อาจเป็นนามธรรมและสู่ความสำเร็จได้ยาก จึงเสนอ โรดแมป เชื่อมประสานอำนาจรัฐแก้วิกฤตการเมือง ที่น่าจะเป็นรูปธรรมมากกว่าแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายการเมืองและประชาชนทั่วไปว่าจะก้าวเดินไปตามแนวทางนี้หรือไม่
ก้าวแรก เริ่มจากการมองแง่มุมที่ดีงามของทั้งฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีความรักชาติ และมุ่งมั่นในการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างเข้มข้น ให้อยู่บนความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ในขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็มีจุดดีเรื่องการรักษาระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล ซึ่งทั้งสองฝ่ายเป็นการเมืองภาคประชาชนที่ควรหนุนเสริมให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น แต่ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของทั้งสองกลุ่มต้องไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
ก้าวที่สองคือ จากผลสำรวจครั้งนี้ เสนอให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสร้างความ ปรองดองของคนในชาติ มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีดูแลภาพรวมทั้งประเทศอย่างเท่าเทียมและใจกว้างปกป้องรักษากระบวน การยุติธรรม แต่เน้นดูแลความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และน่าจะลองชวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลความอยู่ดีกินดีของประชาชนในภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร ส่วนนายบรรหาร ศิลปอาชา น่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในภาคกลาง โดย นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านความรักความสามัคคีและสมานฉันท์ของคนในชาติ
นอกจากนี้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ น่าจะอาสามาดูแลเรื่องการจัดระเบียบสังคมอย่างบูรณาการแก้ปัญหาสังคมทั้งระบบของประเทศ ในขณะที่ กองทัพคงจะมุ่งมั่นดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง โดยเป็นกองทัพที่อยู่เคียงข้างประชาชนแบบไม่เลือกข้าง เป็นกองทัพของประชาชนทั้งประเทศ
ส่วนการแก้วิกฤตเศรษฐกิจให้ช่วยกันระหว่างทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเก่งด้วยกันทั้งสองฝ่าย มาช่วยกันให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศไปก่อนแล้วค่อยเริ่มต้น แข่งขันทำงานทางการเมืองกันใหม่ด้วยการยุบสภาเลือกตั้งกันอย่างบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม บนพื้นฐานการเมืองใหม่บนหลักธรรมาภิบาลเคร่งครัดต่อจริยธรรมทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ถ้าแนวคิดข้างต้นเป็นไปไม่ได้ ก็คงต้องอาศัยการทำงานของกระบวนการยุติธรรมที่ทำงานได้ตรงกับจังหวะเหตุการณ์ของบ้านเมืองพิจารณายุบ หรือไม่ยุบพรรคการเมืองเพื่อคลี่คลายบรรยากาศอึมครึมทางการเมือง หรืออีกทาง เลือกหนึ่งคือ รัฐบาลอาจพิจารณายุบสภาเลือกตั้งใหม่ทันที คืนอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศตัดสินใจอีกครั้งโดยเร็ว ก่อนที่ ทางเลือกของการยุบสภานี้จะไม่เหมาะกับสถานการณ์การเมืองอีกเพราะความขัดแย้งของคนภายในประเทศจะรุนแรงบานปลาย เกินขอบเขตทางเลือกในการแก้ปัญหาตามปกติในระบอบประชาธิปไตยจะทำได้ และประชาชน จำนวนมากอาจแสวงหาทางออกที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ทางออกที่ดีแต่เป็นทางออกที่จำเป็นต่อสถานการณ์ แต่ก็จะเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนที่ต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงได้