ผู้จัดการรายวัน – คาสิโอเตรียมโยกฐานผลิตออกจากจีนเหตุค่าแรงสูงขึ้น เผยไทยกับเวียดนามชิงดำฐานผลิตใหม่ ดูไทยมีภาษีดีกว่า เพราะมีฐานผลิตนาฬิกาอยู่แล้ว เซ็นทรัลเทรดดิ้งลั่นเป้าเติบโต 30% ใน 5 ปีนี้ พร้อมลุยเปิดร้าน จี-แฟคตอรี่เพิ่มขึ้น
นายทาคูชิ มิยาฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะโยกฐานการผลิตของคาสิโอจากประเทศจีน ไปสู่ที่ใหม่ระหว่าง 2 ประเทศคือ ไทยกับเวียดนาม ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้จะสามารถสรุปได้ว่าจะใช้ประเทศใดเป็นฐานผลิตเพิ่ม จากปัจจุบันที่มีฐานผลิตอยู่แล้วที่ ญี่ปุ่น ไทย และจีน
เนื่องจากฐานการผลิตที่จีนนั้น ขณะนี้ต้นทุนเริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ในช่วงไม่กี่ปีนี้
ปัจจุบันโรงงานในไทยที่นวนคร ปทุมธานี ตั้งมาประมาณ 10 ปีแล้ว ผลิตแต่เพียงนาฬิกาคาสิโอเท่านั้น ซึ่งเป็นฐานผลิตใหญ่ในส่วนของนาฬิกาคาสิโอมากกว่า 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% ผลิตจากจีนและญี่ปุ่น และหากได้เป็นฐานผลิตเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีการผลิตสินค้าอื่นของคาสิโอเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทแม่มองว่าไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตและมีความมั่นคงในระยะยาว แม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาทางด้านความขัดแย้งการเมืองบ้างก็ตาม ส่วนปัญหาเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบทั่วโลก อีกทั้งไทยยังมีความได้เปรียบในเรื่อของเทคโนโลยีการผลิตด้วยเมื่อเทียบกับเวียดนาม
สำหรับแผนการดำเนินการตลาดในไทยนั้น นางสาวเยาวลักษณ์ กิจทวีสินพูน ผู้จัดการอาวุโสผลิตภัณฑ์นาฬิกาคาสิโอ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯวางเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายนาฬิกาคาสิโอเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ จากในอดีตที่ทำตลาดมานานกว่า 20 ปีก็เติบโตมาตลอด ซึ่งปี 2550 มียอดขายเติบโต 20% หรือประมาณ 110,000 เรือน และปี 2551 นี้คาดว่าเติบโต 30% หรือมียอดขายประมาณ 150,000 เรือน ขณะที่ภาพรวมตลาดนาฬิกานั้นจะเติบโตเฉลี่ยเพียง 20% เท่านั้น
โดยช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และครึ่งปีหลังนี้จะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง กิจกรรมโรดโชว์ การเปิดตัวรุ่นใหม่ และการจัดกิจกรรมใหญ่ ครบรอบ 25 ปี ของ จี-ช็อค ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันให้คาสิโอมีส่วนแบ่งเพิ่มอีก 5-10% จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่ง 25% เมื่อเทียบกับนาฬิกาสปอร์ตแฟชั่นแบรนด์ญี่ปุ่นด้วยกัน
สัดส่วนยอดขายนาฬิกาคาสิโอแบ่งเป็นกลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟโมเดล คือพวกตระกูลจี-ช็อก 55% และอีก 45% เป็นกลุ่มของนอร์มัล (NORMAL) ระดับราคา 1,000-6,000 บาท ล่าสุดได้เพิ่มไลน์โกลด์ลาเบล ราคาเฉลี่ย 8,900 – 13,900 บาท โดยยอดขายหากแบ่งตามพื้นที่นั้น มาจากกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่กว่า 80% และต่างจังหวัด 20% ซึ่งมีแผนจะขยายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นเป็น 30% ส่วนกรุงเทพฯกับหัวเมืองใหญ่เหลือ 70%
ด้านจุดขายของคาสิโอนั้นมีประมาณ 200 จุดขายทั่วประเทศทั้งห้างและดีลเลอร์ นอกนั้นยังมีที่เป็นร้านค้าของบริษัทฯเองคือ จี-แฟคตอรี่ มี 2 สาขาคือที่ เซ็นทรัลเวิลด์และเซ็นทรัลพระรามสาม ซึ่งในปีหน้ามีแผนที่จะเน้นการเปิดร้าน จี-แฟคตอรี่ อีก 5 – 7 สาขา และมีร้านวอทช์สเตชั่น โดยยังไม่มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม ซึ่งขายนาฬิกาทุกแบรนด์ที่บริษัทฯจัดจำหน่าย เช่น คาสิโอ เกส นอติกา มาร์กเอคโค่ ล่าสุดจะนำเข้าแบรนด์ใหม่คือ เทียรี่มูแกลร์ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ระดับราคา 7,000 บาท
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของนาฬิกาคาสิโอนั้นคือ วัยรุ่นอายุ 15-25 ปี กลุ่มเป้าหมายรองคือวัยทำงานอายุ 26-35 ปี สัดส่วนเป็นผู้ชาย 80% ผู้หญิง 20% ล่าสุดคาสิโอ จี-ช็อก ได้ออกรุ่นใหม่รุ่นพิเศษ จี-ช็อก ฟรอกแมน รุ่น GW -225E-7DR ออกแบบโทนสีขาวสลับกับสีทอง ติดโลโก้ ครบรอบ 25 ปีด้วย
นายทาคูชิ มิยาฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะโยกฐานการผลิตของคาสิโอจากประเทศจีน ไปสู่ที่ใหม่ระหว่าง 2 ประเทศคือ ไทยกับเวียดนาม ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้จะสามารถสรุปได้ว่าจะใช้ประเทศใดเป็นฐานผลิตเพิ่ม จากปัจจุบันที่มีฐานผลิตอยู่แล้วที่ ญี่ปุ่น ไทย และจีน
เนื่องจากฐานการผลิตที่จีนนั้น ขณะนี้ต้นทุนเริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ในช่วงไม่กี่ปีนี้
ปัจจุบันโรงงานในไทยที่นวนคร ปทุมธานี ตั้งมาประมาณ 10 ปีแล้ว ผลิตแต่เพียงนาฬิกาคาสิโอเท่านั้น ซึ่งเป็นฐานผลิตใหญ่ในส่วนของนาฬิกาคาสิโอมากกว่า 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% ผลิตจากจีนและญี่ปุ่น และหากได้เป็นฐานผลิตเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีการผลิตสินค้าอื่นของคาสิโอเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทแม่มองว่าไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตและมีความมั่นคงในระยะยาว แม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาทางด้านความขัดแย้งการเมืองบ้างก็ตาม ส่วนปัญหาเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบทั่วโลก อีกทั้งไทยยังมีความได้เปรียบในเรื่อของเทคโนโลยีการผลิตด้วยเมื่อเทียบกับเวียดนาม
สำหรับแผนการดำเนินการตลาดในไทยนั้น นางสาวเยาวลักษณ์ กิจทวีสินพูน ผู้จัดการอาวุโสผลิตภัณฑ์นาฬิกาคาสิโอ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯวางเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายนาฬิกาคาสิโอเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ จากในอดีตที่ทำตลาดมานานกว่า 20 ปีก็เติบโตมาตลอด ซึ่งปี 2550 มียอดขายเติบโต 20% หรือประมาณ 110,000 เรือน และปี 2551 นี้คาดว่าเติบโต 30% หรือมียอดขายประมาณ 150,000 เรือน ขณะที่ภาพรวมตลาดนาฬิกานั้นจะเติบโตเฉลี่ยเพียง 20% เท่านั้น
โดยช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และครึ่งปีหลังนี้จะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง กิจกรรมโรดโชว์ การเปิดตัวรุ่นใหม่ และการจัดกิจกรรมใหญ่ ครบรอบ 25 ปี ของ จี-ช็อค ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันให้คาสิโอมีส่วนแบ่งเพิ่มอีก 5-10% จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่ง 25% เมื่อเทียบกับนาฬิกาสปอร์ตแฟชั่นแบรนด์ญี่ปุ่นด้วยกัน
สัดส่วนยอดขายนาฬิกาคาสิโอแบ่งเป็นกลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟโมเดล คือพวกตระกูลจี-ช็อก 55% และอีก 45% เป็นกลุ่มของนอร์มัล (NORMAL) ระดับราคา 1,000-6,000 บาท ล่าสุดได้เพิ่มไลน์โกลด์ลาเบล ราคาเฉลี่ย 8,900 – 13,900 บาท โดยยอดขายหากแบ่งตามพื้นที่นั้น มาจากกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่กว่า 80% และต่างจังหวัด 20% ซึ่งมีแผนจะขยายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นเป็น 30% ส่วนกรุงเทพฯกับหัวเมืองใหญ่เหลือ 70%
ด้านจุดขายของคาสิโอนั้นมีประมาณ 200 จุดขายทั่วประเทศทั้งห้างและดีลเลอร์ นอกนั้นยังมีที่เป็นร้านค้าของบริษัทฯเองคือ จี-แฟคตอรี่ มี 2 สาขาคือที่ เซ็นทรัลเวิลด์และเซ็นทรัลพระรามสาม ซึ่งในปีหน้ามีแผนที่จะเน้นการเปิดร้าน จี-แฟคตอรี่ อีก 5 – 7 สาขา และมีร้านวอทช์สเตชั่น โดยยังไม่มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม ซึ่งขายนาฬิกาทุกแบรนด์ที่บริษัทฯจัดจำหน่าย เช่น คาสิโอ เกส นอติกา มาร์กเอคโค่ ล่าสุดจะนำเข้าแบรนด์ใหม่คือ เทียรี่มูแกลร์ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ระดับราคา 7,000 บาท
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของนาฬิกาคาสิโอนั้นคือ วัยรุ่นอายุ 15-25 ปี กลุ่มเป้าหมายรองคือวัยทำงานอายุ 26-35 ปี สัดส่วนเป็นผู้ชาย 80% ผู้หญิง 20% ล่าสุดคาสิโอ จี-ช็อก ได้ออกรุ่นใหม่รุ่นพิเศษ จี-ช็อก ฟรอกแมน รุ่น GW -225E-7DR ออกแบบโทนสีขาวสลับกับสีทอง ติดโลโก้ ครบรอบ 25 ปีด้วย