เอเอฟพี/เอเยนซีส์ - "อินเดีย" มาแล้ว หลังตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำด้าน "อวกาศ" แห่งเอเชียมาหลายปี ในที่สุดก็นำส่ง "จันทรายาน" เก็บข้อมูลแข่ง "ญี่ปุ่น-จีน" ที่กำลังง่วนอยู่บนดวงจันทร์ หวังได้แผนที่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมก้าวสู้ 2 มหาอำนาจอวกาศแห่งเอเชียอย่างเต็มตัว ฝันเป็นเจ้าของเส้นทางการคมนาคมสู่ดวงจันทร์
เสียงยินดีและปรบมือด้วยความดีใจ ดังขึ้นที่ศูนย์อวกาศเมืองสาธิตดาวัน รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย เมื่อจรวดสัญชาติอินเดียนำ "จันทรายาน 1" (Chandrayaan-1) ยานสำรวจดวงจันทร์ลำแรกของประเทศ ทะยานสู่ท้องฟ้าตามเป้าหมาย เมื่อเวลา 7.22 น.ของวานนี้ (22 ต.ค.) (ตามเวลาประเทศไทย) ท่ามกลางท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนา
"นี่นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ การเดินทางสู่ดวงจันทร์ของพวกเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว และเที่ยวแรกก็เป็นไปอย่างสวยงาม" คำกล่าวแรกระหว่างการแถลงข่าว ของมาธาวัน แนร์ ประธานองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย หรือ ไอเอสอาร์โอ (Indian Space Research Organisation : ISRO)
ทั้งนี้ ไอเอสอาร์โอมีแผนให้ "จันทรายาน1" ปฏิบัติภารกิจสำรวจดวงจันทร์เป็นเวลา 2 ปี โดยโคจรรอบดวงจันทร์ และบันทึกภาพความละเอียดสูง เพื่อสร้างแผนที่พื้นผิวดวงจันทร์ ที่มีรายละเอียดลักษณะภูมิประเทศ แร่ธาตุ และสภาพทางเคมีต่างๆ
แม้ว่า "จันทรายาน" จะมาทีหลัง แต่อินเดียการันตีว่า เยี่ยมกว่าคากุยะ (Kaguya) ของญี่ปุ่น และฉางเอ๋อ (Chang'e-1) ของจีนที่กำลังโคจรอยู่รอบดวงจันทร์อย่างแน่นอน
เพราะอินเดียได้ร่วมมือกับองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซา) ร่วมกันติดตั้งอุปกรณ์มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อทำแผนที่ดวงจันทร์ที่ละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
"เรายังไม่มีแผนที่ดวงจันทร์ที่ดีและทันสมัยจริงๆ จะมีก็แต่แผนที่ดวงอังคารที่มีคุณภาพ ซึ่งแผนที่ดวงจันทร์ที่อินเดียกำลังทำนี้ถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมีความละเอียดชัดเจนกว่าแผนที่ที่เคยทำไว้ในยุคอะพอลโล" คำวิเคราะห์ของสก็อต เพส ผู้อำนวยการนโยบายอวกาศ มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน
อย่างไรก็ดี โครงการสำรวจดวงจันทร์ของอินเดียครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อข้อมูลที่ทันสมัยจากดาวบริวารของโลกเท่านั้น แต่อินเดียต้องการกระโดดเข้าร่วมวงการแข่งขันทางด้านอวกาศของภูมิภาคเอเชีย โดยมีญี่ปุ่นและจีนที่ยังขับเคี่ยวกันอยู่
อีกทั้ง ในสายตาของเพสเองก็เห็นว่า กิจการอวกาศของอินเดียเริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ทั้งดาวเทียมเตือนภัยภูมิอากาศ และดาวเทียมระบบสื่อสารที่อินเดียสามารถผลิต ก็มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม
"คุณกำลังจะเห็นอินเดียยกสถานภาพตัวเอง" เพสชี้ เพราะสภาพเศรษฐกิจของอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สามารถลงทุนทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูงได้ อินเดียจึงต้องการขึ้นมายืนในฐานะผู้นำโลกบ้าง ซึ่งโครงการอวกาศก็นับเป็นสัญลักษณ์สำคัญต่อสภาพทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ อินเดียเริ่มโครงการอวกาศตั้งแต่ปี 1963 ด้วยความพยายามพัฒนาดาวเทียมและจรวดนำส่งขึ้นเอง เพื่อลดการพึ่งพาบริษัทขนส่งอวกาศต่างชาติ ซึ่งผลงานการขนส่งอวกาศครั้งแรก ได้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว โดยนำส่งดาวเทียมพาณิชย์ของอิตาลี และเมื่อต้นปีก็ได้นำส่งดาวเทียมจารกรรมให้แก่อิสราเอล
อีกทั้งการส่งจันทรายานครั้งนี้ นับว่าเป็นการสำรวจอวกาศครั้งแรกของอินเดีย แต่การตั้งเป้าที่จะไล่ตามจีนให้ทันนั้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะตอนนี้เรียกได้ว่า จีนสามารถขึ้นเทียบชั้นสหรัฐฯ, รัสเซีย หรือองค์การอวกาศแห่งยุโรปไปแล้ว
ส่วนญี่ปุ่นซึ่งมีโครงการด้านอวกาศมายาวนาน ก็มีแผนในอีก 12 ปีข้างหน้าว่าจะส่งคนสู่ดวงจันทร์ พร้อมทั้งยังส่งดาวเทียมขนาดเล็ก 2 ดวง เพื่อศึกษาสนามโน้มถ่วงของดวงจันทร์ไปเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ องค์การอวกาศอินเดียยังมีแผนส่งมนุษย์ออกสู่วงโคจรให้ได้ภายในปี 2015 โดยกำลังพัฒนาแคปซูลอวกาศขนาด 2 ที่นั่งอยู่ พร้อมทั้งมีเป้าไว้อย่างสวยหรูว่า ถ้าอนาคตอวกาศคือเส้นทางคมนาคม โดยเฉพาะระหว่างโลกและดวงจันทร์ อินเดียจะเป็นประเทศแรกที่พัฒนาเส้นทางดังกล่าว
อย่างไรก็ดี การปล่อย "จันทรายาน" อันเป็นสังเวียนแรกสู่ศึกอวกาศครั้งนี้ ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลหมดเงินไปกับโครงการอวกาศหลายร้อยล้าน แต่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ก็ยังคงประสบปัญหาความยากจนอย่างรุนแรง
เสียงยินดีและปรบมือด้วยความดีใจ ดังขึ้นที่ศูนย์อวกาศเมืองสาธิตดาวัน รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย เมื่อจรวดสัญชาติอินเดียนำ "จันทรายาน 1" (Chandrayaan-1) ยานสำรวจดวงจันทร์ลำแรกของประเทศ ทะยานสู่ท้องฟ้าตามเป้าหมาย เมื่อเวลา 7.22 น.ของวานนี้ (22 ต.ค.) (ตามเวลาประเทศไทย) ท่ามกลางท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนา
"นี่นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ การเดินทางสู่ดวงจันทร์ของพวกเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว และเที่ยวแรกก็เป็นไปอย่างสวยงาม" คำกล่าวแรกระหว่างการแถลงข่าว ของมาธาวัน แนร์ ประธานองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย หรือ ไอเอสอาร์โอ (Indian Space Research Organisation : ISRO)
ทั้งนี้ ไอเอสอาร์โอมีแผนให้ "จันทรายาน1" ปฏิบัติภารกิจสำรวจดวงจันทร์เป็นเวลา 2 ปี โดยโคจรรอบดวงจันทร์ และบันทึกภาพความละเอียดสูง เพื่อสร้างแผนที่พื้นผิวดวงจันทร์ ที่มีรายละเอียดลักษณะภูมิประเทศ แร่ธาตุ และสภาพทางเคมีต่างๆ
แม้ว่า "จันทรายาน" จะมาทีหลัง แต่อินเดียการันตีว่า เยี่ยมกว่าคากุยะ (Kaguya) ของญี่ปุ่น และฉางเอ๋อ (Chang'e-1) ของจีนที่กำลังโคจรอยู่รอบดวงจันทร์อย่างแน่นอน
เพราะอินเดียได้ร่วมมือกับองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซา) ร่วมกันติดตั้งอุปกรณ์มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อทำแผนที่ดวงจันทร์ที่ละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
"เรายังไม่มีแผนที่ดวงจันทร์ที่ดีและทันสมัยจริงๆ จะมีก็แต่แผนที่ดวงอังคารที่มีคุณภาพ ซึ่งแผนที่ดวงจันทร์ที่อินเดียกำลังทำนี้ถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมีความละเอียดชัดเจนกว่าแผนที่ที่เคยทำไว้ในยุคอะพอลโล" คำวิเคราะห์ของสก็อต เพส ผู้อำนวยการนโยบายอวกาศ มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน
อย่างไรก็ดี โครงการสำรวจดวงจันทร์ของอินเดียครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อข้อมูลที่ทันสมัยจากดาวบริวารของโลกเท่านั้น แต่อินเดียต้องการกระโดดเข้าร่วมวงการแข่งขันทางด้านอวกาศของภูมิภาคเอเชีย โดยมีญี่ปุ่นและจีนที่ยังขับเคี่ยวกันอยู่
อีกทั้ง ในสายตาของเพสเองก็เห็นว่า กิจการอวกาศของอินเดียเริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ทั้งดาวเทียมเตือนภัยภูมิอากาศ และดาวเทียมระบบสื่อสารที่อินเดียสามารถผลิต ก็มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม
"คุณกำลังจะเห็นอินเดียยกสถานภาพตัวเอง" เพสชี้ เพราะสภาพเศรษฐกิจของอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สามารถลงทุนทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูงได้ อินเดียจึงต้องการขึ้นมายืนในฐานะผู้นำโลกบ้าง ซึ่งโครงการอวกาศก็นับเป็นสัญลักษณ์สำคัญต่อสภาพทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ อินเดียเริ่มโครงการอวกาศตั้งแต่ปี 1963 ด้วยความพยายามพัฒนาดาวเทียมและจรวดนำส่งขึ้นเอง เพื่อลดการพึ่งพาบริษัทขนส่งอวกาศต่างชาติ ซึ่งผลงานการขนส่งอวกาศครั้งแรก ได้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว โดยนำส่งดาวเทียมพาณิชย์ของอิตาลี และเมื่อต้นปีก็ได้นำส่งดาวเทียมจารกรรมให้แก่อิสราเอล
อีกทั้งการส่งจันทรายานครั้งนี้ นับว่าเป็นการสำรวจอวกาศครั้งแรกของอินเดีย แต่การตั้งเป้าที่จะไล่ตามจีนให้ทันนั้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะตอนนี้เรียกได้ว่า จีนสามารถขึ้นเทียบชั้นสหรัฐฯ, รัสเซีย หรือองค์การอวกาศแห่งยุโรปไปแล้ว
ส่วนญี่ปุ่นซึ่งมีโครงการด้านอวกาศมายาวนาน ก็มีแผนในอีก 12 ปีข้างหน้าว่าจะส่งคนสู่ดวงจันทร์ พร้อมทั้งยังส่งดาวเทียมขนาดเล็ก 2 ดวง เพื่อศึกษาสนามโน้มถ่วงของดวงจันทร์ไปเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ องค์การอวกาศอินเดียยังมีแผนส่งมนุษย์ออกสู่วงโคจรให้ได้ภายในปี 2015 โดยกำลังพัฒนาแคปซูลอวกาศขนาด 2 ที่นั่งอยู่ พร้อมทั้งมีเป้าไว้อย่างสวยหรูว่า ถ้าอนาคตอวกาศคือเส้นทางคมนาคม โดยเฉพาะระหว่างโลกและดวงจันทร์ อินเดียจะเป็นประเทศแรกที่พัฒนาเส้นทางดังกล่าว
อย่างไรก็ดี การปล่อย "จันทรายาน" อันเป็นสังเวียนแรกสู่ศึกอวกาศครั้งนี้ ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลหมดเงินไปกับโครงการอวกาศหลายร้อยล้าน แต่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ก็ยังคงประสบปัญหาความยากจนอย่างรุนแรง