เอเอฟพี – สวิตเซอร์แลนด์โดดเข้าช่วยชีวิต ยูบีเอส แบงก์ใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศ ด้วยการอัดฉีดเงินฉุกเฉินให้ 60,000 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี(16) ขณะเดียวกัน เครดีต์ สวิส ยักษ์ใหญ่อันดับสองก็ต้องเร่งระดมทุนใหม่จากภาคเอกชนโดยเฉพาะกองทุนกาตาร์ พร้อมกันนี้ รัฐบาลแดนนาฬิกายอมรับว่า กิจการธนาคารสวิสอันมีชื่อเสียงมานมนาน ได้รับความเสียหายมากจากวิกฤตการเงินคราวนี้
กิจการธนาคารคือพลังขับดันสำคัญของเศรษฐกิจสวิส และยูบีเอสก็ถือเป็นลูกสูบหลักลูกสูบหนึ่งในระบบการเงินสวิสมายาวนาน ถึงแม้แบงก์แห่งนี้จะย่ำแย่ต้องทยอยออกคำแถลงมาระยะหนึ่งแล้ว เกี่ยวกับตัวเลขความเสียหายมหึมา จากการที่ทางแบงก์ไปพัวพันกับตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ
รัฐบาลสวิสยอมรับว่า ตลาดการเงินกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบการธนาคารของประเทศตน
“ความเชื่อมั่นคือรากฐานสำหรับการสร้างเสถียรภาพของตลาดการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง และก็เป็นเช่นนั้นสำหรับตลาดการเงินสวิสด้วย” คำแถลงของรัฐบาลแดนนาฬิการะบุ และยืนยันว่ามีความมุ่งมั่นผูกพันที่จะแก้ไขสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียความเชื่อมั่น จากนั้นรัฐบาลก็แจกแจงกรอบโครงมาตรการต่างๆ ที่มุ่งจะทำให้เกิดเสถียรภาพขึ้นมา
มาตรการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วพุ่งเป้าไปที่ยูบีเอส เป็นต้นว่า รัฐบาลจะอัดฉีดเงินจำนวน 6,000 ฟรังก์สวิส (5,300 ล้านดอลลาร์) เข้าไปเป็นเงินทุนใหม่ให้แก่แบงก์แห่งนี้ โดยที่จะได้รับหุ้นของยูบีเอสเป็นการตอบแทนจำนวน 9.3% นอกจากนั้นรัฐบาลยังจะให้กู้อีก 54,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยให้แบงก์สามารถโอนย้ายสินทรัพย์ขาดสภาพคล่องทั้งหลาย มาอยู่ในกองทุนแยกต่างหากจากแบงก์
คำแถลงของรัฐบาลกล่าวว่า จะขายหุ้นยูบีเอสที่ถือครองอยู่ไปให้แก่นักลงทุนภาคเอกชนโดยเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ และการเข้าเกี่ยวข้องของรัฐบาลคราวนี้ไม่ควรกินเวลานาน
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐสวิสเข้าแทรกแซงโดยตรงในกิจการภาคธนาคารนับแต่เกิดวิกฤตระลอกนี้มา ถึงแม้ก่อนหน้านี้ยูบีเอสได้เคยถูกบังคับให้ต้องทยอยตัดลดมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่ตนถือครองอยู่ลงมา รวมแล้วกว่า 42,500 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งรายงานผลประกอบการขาดทุนในหลายไตรมาสติดต่อกัน สืบเนื่องจากวิกฤตทางการเงินที่มีต้นตอจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ยูบีเอสเคยแจ้งว่าสามารถระดมเงินทุนใหม่ๆ ได้รวม 28,000 ล้านฟรังก์สวิสจาก จีไอซี อันเป็นกองทุนเพื่อความมั่งคั่งภาครัฐของสิงคโปร์, นักลงทุนรายหนึ่งในตะวันออกกลางที่ไม่มีการระบุชื่อ, และพวกผู้ถือหุ้นของทางแบงก์เอง ทว่านี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเงินที่พวกลูกค้าพากันถอนออกไป
ในไตรมาสสองปีนี้ ยูบีเอสบอกว่ามีสินทรัพย์ไหลออกเป็นจำนวน 43,900 ล้านฟรังก์สวิส และเพิ่มขึ้นเกือบเป็นสองเท่าตัวในไตรมาสสาม ด้วยยอดสินทรัพย์ไหลออก 83,700 ล้านฟรังก์สวิส
สำหรับการให้กู้ 54,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยยูบีเอสโอนสินทรัพย์เน่าเสียไปอยู่ในกองทุนต่างหากนั้น ตามข้อตกลงคราวนี้ระบุว่า แบงก์ชาติสวิสจะเป็นผู้ให้กู้ แต่ยูบีเอสต้องสมทบ 6,000 ล้านดอลลาร์ รวมแล้วยอดใช้จ่ายในการนี้จะเท่ากับ 60,000 ล้านดอลลาร์
ทางด้าน เครดีต์ สวิส ธนาคารใหญ่อันดับสองของประเทศแถลงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐในขณะนี้ แม้จะมียอดขาดทุนสุทธิในไตรมาสสามประมาณ 1,300 ล้านฟรังก์สวิส นอกจากนั้นยังจะตัดลดมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ลงไปอีก 2,400 ฟรังก์สวิส รวมกับของเดิมที่ทยอยตัดลดไปแล้วประมาณ 10,000 ล้านฟรังก์สวิส
เครดีต์ สวิสบอกว่าจะหานักลงทุนภาคเอกชนเข้ามา โดยเม็ดเงินลงทุนใหม่จะเท่ากับ 10,000 ล้านฟรังก์สวิส และ กาตาร์ โฮลดิ้ง ที่เป็นกิจการในเครือของกาตาร์ อินเวสต์เมนต์ ออโธริตี้ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งอยู่แล้ว จะเป็นผู้ออกเม็ดเงินใหม่คราวนี้มากที่สุด
กิจการธนาคารคือพลังขับดันสำคัญของเศรษฐกิจสวิส และยูบีเอสก็ถือเป็นลูกสูบหลักลูกสูบหนึ่งในระบบการเงินสวิสมายาวนาน ถึงแม้แบงก์แห่งนี้จะย่ำแย่ต้องทยอยออกคำแถลงมาระยะหนึ่งแล้ว เกี่ยวกับตัวเลขความเสียหายมหึมา จากการที่ทางแบงก์ไปพัวพันกับตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ
รัฐบาลสวิสยอมรับว่า ตลาดการเงินกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบการธนาคารของประเทศตน
“ความเชื่อมั่นคือรากฐานสำหรับการสร้างเสถียรภาพของตลาดการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง และก็เป็นเช่นนั้นสำหรับตลาดการเงินสวิสด้วย” คำแถลงของรัฐบาลแดนนาฬิการะบุ และยืนยันว่ามีความมุ่งมั่นผูกพันที่จะแก้ไขสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียความเชื่อมั่น จากนั้นรัฐบาลก็แจกแจงกรอบโครงมาตรการต่างๆ ที่มุ่งจะทำให้เกิดเสถียรภาพขึ้นมา
มาตรการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วพุ่งเป้าไปที่ยูบีเอส เป็นต้นว่า รัฐบาลจะอัดฉีดเงินจำนวน 6,000 ฟรังก์สวิส (5,300 ล้านดอลลาร์) เข้าไปเป็นเงินทุนใหม่ให้แก่แบงก์แห่งนี้ โดยที่จะได้รับหุ้นของยูบีเอสเป็นการตอบแทนจำนวน 9.3% นอกจากนั้นรัฐบาลยังจะให้กู้อีก 54,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยให้แบงก์สามารถโอนย้ายสินทรัพย์ขาดสภาพคล่องทั้งหลาย มาอยู่ในกองทุนแยกต่างหากจากแบงก์
คำแถลงของรัฐบาลกล่าวว่า จะขายหุ้นยูบีเอสที่ถือครองอยู่ไปให้แก่นักลงทุนภาคเอกชนโดยเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ และการเข้าเกี่ยวข้องของรัฐบาลคราวนี้ไม่ควรกินเวลานาน
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐสวิสเข้าแทรกแซงโดยตรงในกิจการภาคธนาคารนับแต่เกิดวิกฤตระลอกนี้มา ถึงแม้ก่อนหน้านี้ยูบีเอสได้เคยถูกบังคับให้ต้องทยอยตัดลดมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่ตนถือครองอยู่ลงมา รวมแล้วกว่า 42,500 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งรายงานผลประกอบการขาดทุนในหลายไตรมาสติดต่อกัน สืบเนื่องจากวิกฤตทางการเงินที่มีต้นตอจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ยูบีเอสเคยแจ้งว่าสามารถระดมเงินทุนใหม่ๆ ได้รวม 28,000 ล้านฟรังก์สวิสจาก จีไอซี อันเป็นกองทุนเพื่อความมั่งคั่งภาครัฐของสิงคโปร์, นักลงทุนรายหนึ่งในตะวันออกกลางที่ไม่มีการระบุชื่อ, และพวกผู้ถือหุ้นของทางแบงก์เอง ทว่านี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเงินที่พวกลูกค้าพากันถอนออกไป
ในไตรมาสสองปีนี้ ยูบีเอสบอกว่ามีสินทรัพย์ไหลออกเป็นจำนวน 43,900 ล้านฟรังก์สวิส และเพิ่มขึ้นเกือบเป็นสองเท่าตัวในไตรมาสสาม ด้วยยอดสินทรัพย์ไหลออก 83,700 ล้านฟรังก์สวิส
สำหรับการให้กู้ 54,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยยูบีเอสโอนสินทรัพย์เน่าเสียไปอยู่ในกองทุนต่างหากนั้น ตามข้อตกลงคราวนี้ระบุว่า แบงก์ชาติสวิสจะเป็นผู้ให้กู้ แต่ยูบีเอสต้องสมทบ 6,000 ล้านดอลลาร์ รวมแล้วยอดใช้จ่ายในการนี้จะเท่ากับ 60,000 ล้านดอลลาร์
ทางด้าน เครดีต์ สวิส ธนาคารใหญ่อันดับสองของประเทศแถลงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐในขณะนี้ แม้จะมียอดขาดทุนสุทธิในไตรมาสสามประมาณ 1,300 ล้านฟรังก์สวิส นอกจากนั้นยังจะตัดลดมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ลงไปอีก 2,400 ฟรังก์สวิส รวมกับของเดิมที่ทยอยตัดลดไปแล้วประมาณ 10,000 ล้านฟรังก์สวิส
เครดีต์ สวิสบอกว่าจะหานักลงทุนภาคเอกชนเข้ามา โดยเม็ดเงินลงทุนใหม่จะเท่ากับ 10,000 ล้านฟรังก์สวิส และ กาตาร์ โฮลดิ้ง ที่เป็นกิจการในเครือของกาตาร์ อินเวสต์เมนต์ ออโธริตี้ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งอยู่แล้ว จะเป็นผู้ออกเม็ดเงินใหม่คราวนี้มากที่สุด
