ค่ำคืนวันที่ 6 กันยายน ขณะที่ กลุ่มพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรือนหมื่นเคลื่อนกำลังปิดล้อมรัฐสภา เพื่อกดดัน ไม่ให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบาย และต่อต้านไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดิน พ้นผิด
ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 7 กองร้อย ตรึงกำลังประชิดกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณด้านหน้ารัฐสภา ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล และ ตำรวจภูธรอีกส่วนคอยรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณรอบนอก
ส่วนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.พัชวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร ที่ปรึกษา สบ 10 และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประชุมเครียด เนื่องจากมีกระแสข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมยึดรถประจำทางขวางทางเข้าออกทุกสาย
เช้าตรู่ วันที่ 7 กันยายน เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมอาวุธปราบม็อบครบมือ ได้รับคำสั่งให้เดินทางมาบริเวณหน้ารัฐสภา
วินาทีนั้น ไม่มีใครคาดคิด เสียงระเบิดดังขึ้นประมาณ 50 นัด แก๊สน้ำตาฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณทำให้ฝูงชนแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรัง จังหวะนั้นกำลังปราบจลจลเข้าสลายฝูงชนทันที เหตุจากการปะทะกัน เบื้องต้นมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ 93 ราย สาหัส 5 ราย โดย นายบัญชา บุญแก้ว อายุ 50 ปี ขาซ้ายตั้งแต่ได้ขัวเข่าลงมาแผลฉีกขาดกระดูกแตกละเอียดแพทย์ต้องตัดขาทิ้ง ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระ
จากนั้น ฝูงชนที่โกรธแค้นได้รวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยชายฉกรรจ์ส่วนหนึ่งได้ใช้รถกระบะขับวนอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าพร้อมทั้งตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงจากการสลายม็อบ จนทำให้มีประชาชนขาขาด
ข่าวลือว่า กลุ่มชายดังกล่าวได้โยนระเบิดเสียง ที่ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง มีเพียงเสียงและควันเท่านั้น เข้ามาภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาลบริเวณ สนามหญ้า กองกำกับการ 3 (อารักขาและรักษาความปลอดภัย) แต่ระเบิดไม่ทำงาน แต่จากการตรวจสอบอย่างละเอียดไม่มีใครยืนยันถึงข่าวที่เกิดขึ้น
จากนั้นตำรวจตระเวรชายแดนที่ตรึงกำลังอยู่ภายใน กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอีก 30 นัด พร้อมนำกำลังออกไปผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกไปจากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ทำให้ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการยิงลูกเหล็ก น็อต ลูกหิน และลูกแก้ว เข้าใส่ ตอบโต้กันนานกว่า 30 นาที ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะล่าถอยกลับไป
ส่วน “เดอะเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว แม่ทัพนครบาล ปิดปากเงียบไม่ยอมให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่ประชาชนถูกสะเก็ดระเบิดขาขาด โดยบอกเพียงว่าได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลความสงบเรียบร้อย จำนวน 4,500 นาย และจะประสานขอกำลังจาก กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, 2 และ 7 เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังสั่งกำลังเจ้าหน้าที่ สกัดกลุ่มผู้ชุมนุม ที่จะเคลื่อนขบวน จากทำเนียบรัฐบาล ไปสมทบกับผู้ชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา พร้อมๆกับสั่ง ตำรวจในสังกัดยิงแก๊สน้ำตา ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด ทราบว่า แก๊สน้ำตา ไม่มีสามารถทำอันตรายให้ขาขาดได้ แต่ทำให้ผิวหนังถลอก นอกจากนี้จากการดูรอยแผลคาดว่าน่าจะเกิดจากสะเก็ดระเบิดไม่น่าจะเป็นการวิ่งหกล้มทับกันเองอย่างแน่นอน
ขณะที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ความเห็นถึงการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และมีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาดว่า จากที่เห็นในภาพข่าวเป็นที่แน่ชัดว่าไม่ได้เกิดจากแก๊สน้ำตาอย่างแน่นอน จะต้องเกิดจากแรงระเบิดชนิดใดชนิดหนึ่ง ส่วนจะเป็นระเบิดชนิดใดนั้น ตนไม่สามารถระบุได้ ต้องเข้าไปตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ได้แนะนำให้เก็บบันทึกภาพไว้อย่างระเอียดของบาดแผลเอาไว้ เพื่อให้ง่ายหากตนได้มีโอกาสเข้าไปตรวจสอบ ส่วนการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกนั้นขอตั้งข้อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับกระบวนการของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งตามปกติแล้วเห็นว่าการสลายการชุมนุมไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
นพ.ชัยยศ คุณานุสนธิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน กล่าวถึงการยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)ว่า แก๊สน้ำตามีผลทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังไม่สามารถทำให้ขาขาดได้ หากได้รับปริมาณแก๊สน้ำตามากก็ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามควรมีการสอบถามไปยังผู้บาดเจ็บอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ทั้งนี้ จากการสังเกตการณ์การสลายการชุมนุมทางโทรทัศน์ พบว่า ในการยิงแก๊สน้ำตาเพื่อให้เกิดกลุ่มควันสลายการชุมนุมในครั้งนี้ เป็นการยิงตรงตัวบุคคล ไม่ใช่ยิงในรัศมีที่ห่างไกลออกไปเหมือนทุกครั้ง และไม่มีรายงานยืนยันอย่างชัดเจนถึงผลกระทบหากได้รับแก๊สน้ำตาอย่างรุนแรงจะเกิดผลอย่างไรบ้าง ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเอง คงไม่ทราบเช่นกันว่า แก๊สน้ำตามีความรุนแรงมากน้อยอย่าไร จึงไม่ได้มีการหลบหนี ซึ่งในจุดนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก
“การยิงแก๊สน้ำตาครั้งนี้ก็เหมือนกับการใช้มีดปอกผลไม้ โดยปกติมีดไม่สามารถทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือชีวิตได้ หากไม่ได้นำมีดดังกล่าวมาถูกกับร่างกาย ฉะนั้นการใช้แก๊สน้ำตาครั้งนี้จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง ผู้ยิงจะต้องตระหนักมีความระวัง และดูทิศทางของลมด้วย เพราะแม้แต่การใช้น้ำฉีดสลายการชุมนุม แรงอัดของน้ำก็มีความรุนแรง”นพ.ชัยยศกล่าว
นพ.ชัยยศ กล่าวอีกว่า ผลโดยตรงจากแก๊สน้ำตา จะมีอาการแสบร้อน ปวดที่ตา ปาก จมูก และทางเดินหายใจ น้ำตาไหลพราก ตามองไม่เห็น น้ำมูก น้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก ซึ่งจะหายไปภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง ยกเว้นกรณีสัมผัสมากๆ เช่น หากหายใจเข้าไป อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และระยะยาว ส่งผลต่อตับ ส่วนอันตรายจากชิ้นส่วนของแก๊สน้ำตา เมื่อกระป๋องแตกออกมาแม้แรงอัด ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เกิดบาดเจ็บได้ เมื่อระเบิดใกล้ตัว
แล้วระเบิดที่ทำให้ประชาชนขาขาดและบาดเจ็บจำนวนมากเป็นฝีมือใคร นี่คือคำถามที่รัฐตำรวจต้องให้ความกระจ่างแก่ประชาชนผู้เสียภาษี เป็นเงินเดือนเลี้ยงดูครอบครัวคุณ?
ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 7 กองร้อย ตรึงกำลังประชิดกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณด้านหน้ารัฐสภา ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล และ ตำรวจภูธรอีกส่วนคอยรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณรอบนอก
ส่วนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.พัชวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร ที่ปรึกษา สบ 10 และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประชุมเครียด เนื่องจากมีกระแสข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมยึดรถประจำทางขวางทางเข้าออกทุกสาย
เช้าตรู่ วันที่ 7 กันยายน เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมอาวุธปราบม็อบครบมือ ได้รับคำสั่งให้เดินทางมาบริเวณหน้ารัฐสภา
วินาทีนั้น ไม่มีใครคาดคิด เสียงระเบิดดังขึ้นประมาณ 50 นัด แก๊สน้ำตาฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณทำให้ฝูงชนแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรัง จังหวะนั้นกำลังปราบจลจลเข้าสลายฝูงชนทันที เหตุจากการปะทะกัน เบื้องต้นมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ 93 ราย สาหัส 5 ราย โดย นายบัญชา บุญแก้ว อายุ 50 ปี ขาซ้ายตั้งแต่ได้ขัวเข่าลงมาแผลฉีกขาดกระดูกแตกละเอียดแพทย์ต้องตัดขาทิ้ง ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระ
จากนั้น ฝูงชนที่โกรธแค้นได้รวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยชายฉกรรจ์ส่วนหนึ่งได้ใช้รถกระบะขับวนอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าพร้อมทั้งตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงจากการสลายม็อบ จนทำให้มีประชาชนขาขาด
ข่าวลือว่า กลุ่มชายดังกล่าวได้โยนระเบิดเสียง ที่ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง มีเพียงเสียงและควันเท่านั้น เข้ามาภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาลบริเวณ สนามหญ้า กองกำกับการ 3 (อารักขาและรักษาความปลอดภัย) แต่ระเบิดไม่ทำงาน แต่จากการตรวจสอบอย่างละเอียดไม่มีใครยืนยันถึงข่าวที่เกิดขึ้น
จากนั้นตำรวจตระเวรชายแดนที่ตรึงกำลังอยู่ภายใน กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอีก 30 นัด พร้อมนำกำลังออกไปผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกไปจากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ทำให้ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการยิงลูกเหล็ก น็อต ลูกหิน และลูกแก้ว เข้าใส่ ตอบโต้กันนานกว่า 30 นาที ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะล่าถอยกลับไป
ส่วน “เดอะเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว แม่ทัพนครบาล ปิดปากเงียบไม่ยอมให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่ประชาชนถูกสะเก็ดระเบิดขาขาด โดยบอกเพียงว่าได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลความสงบเรียบร้อย จำนวน 4,500 นาย และจะประสานขอกำลังจาก กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, 2 และ 7 เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังสั่งกำลังเจ้าหน้าที่ สกัดกลุ่มผู้ชุมนุม ที่จะเคลื่อนขบวน จากทำเนียบรัฐบาล ไปสมทบกับผู้ชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา พร้อมๆกับสั่ง ตำรวจในสังกัดยิงแก๊สน้ำตา ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด ทราบว่า แก๊สน้ำตา ไม่มีสามารถทำอันตรายให้ขาขาดได้ แต่ทำให้ผิวหนังถลอก นอกจากนี้จากการดูรอยแผลคาดว่าน่าจะเกิดจากสะเก็ดระเบิดไม่น่าจะเป็นการวิ่งหกล้มทับกันเองอย่างแน่นอน
ขณะที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ความเห็นถึงการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และมีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาดว่า จากที่เห็นในภาพข่าวเป็นที่แน่ชัดว่าไม่ได้เกิดจากแก๊สน้ำตาอย่างแน่นอน จะต้องเกิดจากแรงระเบิดชนิดใดชนิดหนึ่ง ส่วนจะเป็นระเบิดชนิดใดนั้น ตนไม่สามารถระบุได้ ต้องเข้าไปตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ได้แนะนำให้เก็บบันทึกภาพไว้อย่างระเอียดของบาดแผลเอาไว้ เพื่อให้ง่ายหากตนได้มีโอกาสเข้าไปตรวจสอบ ส่วนการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกนั้นขอตั้งข้อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับกระบวนการของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งตามปกติแล้วเห็นว่าการสลายการชุมนุมไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
นพ.ชัยยศ คุณานุสนธิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน กล่าวถึงการยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)ว่า แก๊สน้ำตามีผลทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังไม่สามารถทำให้ขาขาดได้ หากได้รับปริมาณแก๊สน้ำตามากก็ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามควรมีการสอบถามไปยังผู้บาดเจ็บอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ทั้งนี้ จากการสังเกตการณ์การสลายการชุมนุมทางโทรทัศน์ พบว่า ในการยิงแก๊สน้ำตาเพื่อให้เกิดกลุ่มควันสลายการชุมนุมในครั้งนี้ เป็นการยิงตรงตัวบุคคล ไม่ใช่ยิงในรัศมีที่ห่างไกลออกไปเหมือนทุกครั้ง และไม่มีรายงานยืนยันอย่างชัดเจนถึงผลกระทบหากได้รับแก๊สน้ำตาอย่างรุนแรงจะเกิดผลอย่างไรบ้าง ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเอง คงไม่ทราบเช่นกันว่า แก๊สน้ำตามีความรุนแรงมากน้อยอย่าไร จึงไม่ได้มีการหลบหนี ซึ่งในจุดนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก
“การยิงแก๊สน้ำตาครั้งนี้ก็เหมือนกับการใช้มีดปอกผลไม้ โดยปกติมีดไม่สามารถทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือชีวิตได้ หากไม่ได้นำมีดดังกล่าวมาถูกกับร่างกาย ฉะนั้นการใช้แก๊สน้ำตาครั้งนี้จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง ผู้ยิงจะต้องตระหนักมีความระวัง และดูทิศทางของลมด้วย เพราะแม้แต่การใช้น้ำฉีดสลายการชุมนุม แรงอัดของน้ำก็มีความรุนแรง”นพ.ชัยยศกล่าว
นพ.ชัยยศ กล่าวอีกว่า ผลโดยตรงจากแก๊สน้ำตา จะมีอาการแสบร้อน ปวดที่ตา ปาก จมูก และทางเดินหายใจ น้ำตาไหลพราก ตามองไม่เห็น น้ำมูก น้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก ซึ่งจะหายไปภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง ยกเว้นกรณีสัมผัสมากๆ เช่น หากหายใจเข้าไป อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และระยะยาว ส่งผลต่อตับ ส่วนอันตรายจากชิ้นส่วนของแก๊สน้ำตา เมื่อกระป๋องแตกออกมาแม้แรงอัด ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เกิดบาดเจ็บได้ เมื่อระเบิดใกล้ตัว
แล้วระเบิดที่ทำให้ประชาชนขาขาดและบาดเจ็บจำนวนมากเป็นฝีมือใคร นี่คือคำถามที่รัฐตำรวจต้องให้ความกระจ่างแก่ประชาชนผู้เสียภาษี เป็นเงินเดือนเลี้ยงดูครอบครัวคุณ?