ผู้เขียนได้อ่านบทความของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี เรื่อง “การเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไช การเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตย” ใน นสพ. ผู้จัดการรายวัน (27-28 กันยายน 2551) ซึ่งจุดประกายทำให้ผู้เขียนอยากมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “การเมืองเก่า” และ “การเมืองใหม่”
ตามความเข้าใจของผู้เขียน แนวคิดของ นพ. ประเวศ วะสี ในบทความดังกล่าวสรุปได้ว่าการสร้างระบอบประชาธิปไตยต้องคำนึงถึง 2 ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้
ขั้นตอนแรก ประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ประชาชนเป็นฝ่ายสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นในขั้นตอนแรกต้องมีการเคลื่อนไหวสื่อสารทุกรูปแบบให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร นิสิตนักศึกษา นักธุรกิจ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร สื่อมวลชน แม่บ้าน บุคลากรทางสาธารณะสุข และคนไทยอื่นๆ ต้องร่วมรณรงค์อารยะประชาธิปไตย ช่วยกันสะท้อนปัญหาและเสนอทางออก เป็นกระบวนการที่ใจกว้าง ไม่แยกข้างแยกขั้ว การเคลื่อนไหวในขั้นตอนแรกนี้ควรมีหลากหลายรูปแบบ หลายระดับ หลายกลุ่ม
ขั้นตอนที่สอง เมื่อเคลื่อนไหวไปๆ สิ่งที่เป็นสัจจะและความถูกต้องจะเข้ามาเชื่อมกันเอง สิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมจะตกหล่นไปตามทาง จากนั้นจึงนำสัจจะที่เป็นข้อยุติไปปรับปรุงแก้ไข รธน. และองค์กรอิสระการตรวจสอบ ต่อไป
ผู้เขียนมีความเห็นว่าที่ผ่านมาเรายังไม่เคยปฏิรูประบบการเมือง เคยแต่เขียนรัฐธรรมนูญ การเขียนก็มักมีเพียงขั้นตอนเดียว คือแต่งตั้งคนกลุ่มหนึ่งมานั่งคิดนั่งร่าง รธน.ในห้องแอร์ การร่าง รธน. ฉบับ พ.ศ. 2550 นับว่าพิเศษกว่าฉบับก่อนๆ เพราะมีขั้นตอนที่หนึ่งอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายว่าขั้นตอนที่หนึ่งนั้นดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนรู้สึกผิดหวังกับการทำงานของ คมช. และนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้การรณรงค์ไม่ตื่นตัวกว้างขวางเท่าที่ควร
การออกแบบระบบการเมืองใหม่ที่แก้ปัญหาสังคมไทยได้ ต้องมาจากความคิดเห็นของคนไทยทุกภาคส่วน ทุกองค์กร ไม่ใช่เรื่องที่คนกลุ่มหนึ่งจะขบคิดกันเอง ยิ่งกว่านั้น จากสุภาษิตที่ว่างาช้างย่อมไม่มีวันงอกออกจากปากสุนัขฉันใด รัฐบาลย่อมไม่มีวันเป็นเจ้าภาพที่สุจริตใจแก้ไข รธน. เพื่อการเมืองใหม่ได้ฉันนั้น
จาก ตารางเปรียบเทียบตัวอย่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ จะเห็นได้ว่า “การเมืองใหม่” ไม่ใช่เพียงการแก้ไข รธน. เท่านั้น แต่ครอบคลุมมากกว่า รธน. การสร้างการเมืองใหม่จึงเป็นหน้าที่ของภาคประชาสังคม
การเมืองดีไม่มีขาย อยากได้ต้องช่วยกันสร้าง กลุ่มพลเมืองที่ออกมาแบกภาระกำลังกายและกำลังทรัพย์ต่อสู้ในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เมื่อบรรลุผลแล้ว ใช่ว่าพวกเขาจะเก็บเกี่ยวประโยชน์โภชน์ผลไว้เฉพาะตนก็หาไม่ หากต้องแบ่งอานิสงฆ์ให้แก่ประชาชนทุกคนไม่ว่า “เงียบ” หรือ “โง่” หรือ “แกล้งโง่”
ตามความเข้าใจของผู้เขียน แนวคิดของ นพ. ประเวศ วะสี ในบทความดังกล่าวสรุปได้ว่าการสร้างระบอบประชาธิปไตยต้องคำนึงถึง 2 ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้
ขั้นตอนแรก ประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ประชาชนเป็นฝ่ายสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นในขั้นตอนแรกต้องมีการเคลื่อนไหวสื่อสารทุกรูปแบบให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร นิสิตนักศึกษา นักธุรกิจ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร สื่อมวลชน แม่บ้าน บุคลากรทางสาธารณะสุข และคนไทยอื่นๆ ต้องร่วมรณรงค์อารยะประชาธิปไตย ช่วยกันสะท้อนปัญหาและเสนอทางออก เป็นกระบวนการที่ใจกว้าง ไม่แยกข้างแยกขั้ว การเคลื่อนไหวในขั้นตอนแรกนี้ควรมีหลากหลายรูปแบบ หลายระดับ หลายกลุ่ม
ขั้นตอนที่สอง เมื่อเคลื่อนไหวไปๆ สิ่งที่เป็นสัจจะและความถูกต้องจะเข้ามาเชื่อมกันเอง สิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมจะตกหล่นไปตามทาง จากนั้นจึงนำสัจจะที่เป็นข้อยุติไปปรับปรุงแก้ไข รธน. และองค์กรอิสระการตรวจสอบ ต่อไป
ผู้เขียนมีความเห็นว่าที่ผ่านมาเรายังไม่เคยปฏิรูประบบการเมือง เคยแต่เขียนรัฐธรรมนูญ การเขียนก็มักมีเพียงขั้นตอนเดียว คือแต่งตั้งคนกลุ่มหนึ่งมานั่งคิดนั่งร่าง รธน.ในห้องแอร์ การร่าง รธน. ฉบับ พ.ศ. 2550 นับว่าพิเศษกว่าฉบับก่อนๆ เพราะมีขั้นตอนที่หนึ่งอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายว่าขั้นตอนที่หนึ่งนั้นดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศที่ประชาชนรู้สึกผิดหวังกับการทำงานของ คมช. และนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้การรณรงค์ไม่ตื่นตัวกว้างขวางเท่าที่ควร
การออกแบบระบบการเมืองใหม่ที่แก้ปัญหาสังคมไทยได้ ต้องมาจากความคิดเห็นของคนไทยทุกภาคส่วน ทุกองค์กร ไม่ใช่เรื่องที่คนกลุ่มหนึ่งจะขบคิดกันเอง ยิ่งกว่านั้น จากสุภาษิตที่ว่างาช้างย่อมไม่มีวันงอกออกจากปากสุนัขฉันใด รัฐบาลย่อมไม่มีวันเป็นเจ้าภาพที่สุจริตใจแก้ไข รธน. เพื่อการเมืองใหม่ได้ฉันนั้น
จาก ตารางเปรียบเทียบตัวอย่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ จะเห็นได้ว่า “การเมืองใหม่” ไม่ใช่เพียงการแก้ไข รธน. เท่านั้น แต่ครอบคลุมมากกว่า รธน. การสร้างการเมืองใหม่จึงเป็นหน้าที่ของภาคประชาสังคม
การเมืองดีไม่มีขาย อยากได้ต้องช่วยกันสร้าง กลุ่มพลเมืองที่ออกมาแบกภาระกำลังกายและกำลังทรัพย์ต่อสู้ในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เมื่อบรรลุผลแล้ว ใช่ว่าพวกเขาจะเก็บเกี่ยวประโยชน์โภชน์ผลไว้เฉพาะตนก็หาไม่ หากต้องแบ่งอานิสงฆ์ให้แก่ประชาชนทุกคนไม่ว่า “เงียบ” หรือ “โง่” หรือ “แกล้งโง่”
องค์ประกอบสังคม เศรษฐกิจและการเมือง | การเมืองเก่า | การเมืองใหม่ |
ผลลัพธ์ | ||
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล | ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลหลวงตามหาบัวเคยกล่าวว่า “การเมืองไทยโกงกินถึงตับไตไส้พุง” ระบาดซึมลึกไปทุกวงการและทุกระดับ | รัฐบาลสุจริต โปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการสกัดนักเลือกตั้ง |
ปัญหาความยากจน | แก้ปัญหาความยากจนไม่ได้ สาเหตุหนึ่งเกิดจากกีดกันการรวมกลุ่มชาวนาชาวไร่ บอนไซสหกรณ์การเกษตร ไม่ให้มวลชนชาวนาชาวไร่เข้มแข็ง กดขี่หลอกลวงง่าย เกษตรกรมีหนี้สินรุงรัง | -ปล่อยเสรีการรวมกลุ่มชาวนา ปล่อยเสรีสหกรณ์การเกษตร เมื่อสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง มีอำนาจต่อรองสูงขึ้น ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น การขายเสียงลดลง -ทำให้การเลือกตั้งผ่านกลุ่มอาชีพเข้มแข็ง |
การกระจายรายได้ | ความเหลื่อมล้ำทางรายได้เพิ่มขึ้นๆ ไม่มีภาษีมรดก เก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราต่ำ | มีภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สินที่เข้มข้น เก็บภาษีที่ดินในอัตราสูงสำหรับมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นสืบเนื่องจากการลงทุนของรัฐ |
ระบบครอบครัว | ปล่อยเสรีแหล่งอบายมุข หวย การพนัน และสิ่งเสพติดต่างๆ ทำให้ครอบครัวแตกแยก | กำจัดและควบคุมแหล่งอบายมุขและสารเสพติด |
ระบบการศึกษาภาคบังคับ | -ไม่มีความรู้ในฐานะ “พลเมือง” ไม่รู้ไม่เข้าใจผลร้ายของการเมืองเลว -ไม่ปลูกฝังศีลธรรมและคุณธรรม ลูกทิ้งพ่อแม่ | มีความรู้ในฐานะ “พลบ้าน” และ “พลเมือง” มีความเข้าใจผลร้ายของการเมืองเลว มีส่วนร่วมสร้างการเมืองดี โดยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย |
ระบบสื่อสารมวลชน | ระบบสื่อสารมวลชนขาดองค์ความรู้ ขาดจิตสำนึกทางการเมือง ขายจิตวิญญาณ มอมเมาประชาชน | -เปิดเสรีสื่อทางเลือกที่ไม่ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข -มีส่วนร่วมในการสร้างการเมืองดี มีจิตสำนึกทางการเมือง ลดรายการมอมเมา เพิ่มรายการส่งเสริมปัญญาความรู้ด้านต่างๆ |
การบริหารราชการ | ||
ระบบราชการส่วนกลาง | ข้าราชการที่ขัดขวางการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมืองมักถูกปลดจากตำแหน่ง | -เพิ่มบทบาทและอำนาจ ปปช. ปกป้องข้าราชการที่หลุดจากตำแหน่งเพราะขัดขวางการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมือง -ยุติการเกษียณอายุก่อนกำหนด เพราะเป็นเครื่องมือที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้กำจัดข้าราชการที่ “รู้มาก” ให้พ้นไปจากหน่วยงาน |
ระบบการบริหารส่วนท้องถิ่น | อบต. และ อบจ. ซื้อเสียง แล้วคอร์รัปชั่นถอนทุนเฉกเช่น ส.ส. | อบต. และ อบจ. ซื้อเสียง แล้วคอร์รัปชั่นถอนทุนเฉกเช่น ส.ส. -ปรับปรุงการได้มาซึ่ง กกต. ส่วนกลาง และระดับท้องถิ่น |
องค์กรตำรวจและอัยการ | องค์กรตำรวจเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจ คดีการเมืองอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลและนักการเมือง | -องค์กรตำรวจเป็นแบบกระจายอำนาจ -อัยการต้องเป็นอิสระทั้งทางนิตินัยและพฤ |
สภาผู้แทน | ||
การก่อตั้งพรรคการเมือง | ก่อตั้งง่าย เป็นพรรคของครอบครัว เป็นคณาธิปไตย แก๊งการเมืองแสวงประโยชน์ | กฎเกณฑ์การก่อตั้งพรรคต้องเข้มงวด เป็นพรรคการเมืองที่แท้จริง เป็นองค์กรทำประโยชน์ |
การเข้ามาเป็น ส.ส. | -ผู้สมัคร ส.ส. ผ่านพรรคการเมือง ซื้อสิทธิ์ขายเสียงผ่านหัวคะแนน และใช้นโยบายประชาสินบนสร้างคะแนนนิยม -ส.ส. จำนวนมากมีอาชีพหากินกับงบประมาณของรัฐ เช่น ผู้รับเหมาก่อสร้าง และรับสัมปทานจากรัฐ เป็นต้น -เกษตรกรซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่และบุคคลด้อยโอกาสรวมทั้งชนกลุ่มน้อย ไม่มีสิทธิมีเสียงในสภา | -ลดจำนวนรวมของ ส.ส. เพราะคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ -ตัวแทนสาขาอาชีพกับตัวแทนเขตพื้นที่ มีความสำคัญพอกัน |
การเข้ามาเป็น ส.ว. | ผู้สมัคร ส.ว. ส่วนหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง | -ผู้สมัคร ส.ว. ผ่านการกลั่นกรองขององค์กรสาขาอาชีพ การกำหนดกลุ่มสาขาอาชีพอาจเป็นดังนี้ อาชีพที่มีจำนวนคนมากที่สุด 10 อาชีพ นอกนั้นรวมเป็นกลุ่มสาขาอาชีพอีกราว 10 กลุ่ม (ใช้ข้อมูล สนง. สถิติแห่งชาติ เทียบเคียง) |
การดูแลการเลือกตั้ง | กกต. องค์กรเดียวทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น | -ปรับปรุงการได้มาซึ่ง กกต. ส่วนกลาง และระดับท้องถิ่น -ประชาชนเข้าชื่อจำนวนหนึ่งร้องศาลรัฐธรรมนูญถอดถอน กกต. และฟ้องร้องโทษทางอาญาได้ -การทุจริตเลือกตั้ง เพิ่มบทลงโทษทางอาญา ตัดสิทธิการลงสมัครนานขึ้น -ประชาชนฟ้องร้องกรณีทุจริตการเลือกตั้งต่อศาล รธน.ได้ |
กฎหมาย | กฎหมายต่างๆ อาทิ พ.ร.บ.ฯ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ร.บ.ฯ วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ร.บ.ฯ การตรวจเงินแผ่นดิน ฯลฯ ไม่มีโทษทางอาญา หรือไม่มีโทษทางแพ่ง | -แก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปราบปรามการทุจริต โดยเพิ่มโทษทางอาญาและทางแพ่ง -กรณีรัฐบาลดำเนินการขัดต่อ รธน.ให้มีบทลงโทษทางอาญาด้วย -แก้ไขกฎหมายข้อมูลราชการ กรณีเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณและเงินกู้ ครม.ต้องเปิดเผยมติและเอกสารทั้งหมด |
ระบบการตรวจสอบ กับองค์กรอิสระภาครัฐ | -ให้ ป.ป.ช. ฟ้องร้องคดีคอร์รัปชั่นต่อศาล รธน.ได้ และคดีคอร์รัปชั่นไม่มีอายุความ -การสืบสวนสอบสวนรวดเร็ว โดยมีกำหนดเวลาที่แน่ชัดและทันการณ์ -มีสำนักงานตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง สังกัด ป.ป.ช. | |
หมวดตุลาการ | -การพิจารณาคดีรวดเร็ว โดยมีกำหนดเวลาที่แน่ชัดและทันการณ์ -ประชาชนฟ้องร้องกรณีนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่นต่อศาลโดยตรงได้ |