ผู้จัดการรายวัน – แอตต้าหวั่นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ กระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปีหน้า หมดหวังได้นักท่องเที่ยวเติบโตตามเป้า 5% ระบุชัดครั้งนี้ใหญ่กว่าต้มยำกุ้งหลายเท่า เหตุ สหรัฐ เป็นตลาดใหญ่ทั้งเรื่องการบริโภคและลงทุน งานนี้ตลาดไฮเอนด์หนีไม่พ้นต้องร่วมชะตากรรม แนะผู้ประกอบการรัดเข็มขัด ประคองตัว ด้านตลาดญี่ปุ่น กลุ่มเยาวชนทริปทัศนะศึกษา ชักแถวยกเลิกมาไทย เหตุผู้ปกครองยังไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองของไทย หวั่นเสียตลาดให้เวียดนาม และมาเลเซีย ขณะที่นักวิชาการแย้มสิ้นปีมีลุ้นยุบสภา
นายอภิชาต สังฆอารีย นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ปัจจัยลบที่สำคัญที่กำลังจะเข้ามากระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยคือวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ขณะนี้กำลังลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปและเอเชีย ซึ่งจะทำให้กลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ มีการบริโภคสูง เป็นตลาดการส่งออก และ ลงทุน ที่สำคัญของหลายๆประเทศ ทั้ง ไทย จีน ฮ่องก และ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อสหรัฐเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จึงหนีไม่พ้นที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย และท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่อ่อนไหว เมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเช่นนี้ บวกกับสภาวะน้ำมันเชื้อเพลิงราคาแพง จึงทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง หรือ เลือกที่จะเดินทางระยะใกล้ขึ้น เพราะทุกคนต้องระมัดระวังการใช้จ่าย มีจำนวนวันพักที่สั้นลง
ล่าสุดการที่งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนไปทั่วโลก ยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ไฮซีซั่นปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เป็นผลทำให้การเติบโตของนักท่องเที่ยวและรายได้ ไม่น่าจะเป็นไปตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเติบโตราว 5% หรือ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 16 ล้านคน รายได้ 6.1 แสนล้านบาท
“วิกฤตครั้งนี้หนักกว่า วิกฤติต้มยำกุ้งหลายเท่า เพราะ สหรัฐเป็นประเทศใหญ่ จึงมองว่า ปีหน้า โรงแรมต่างๆ คงไม่ปรับขึ้นราคาห้องพัก เพื่อจูงใจให้คนยังคงเดินทางท่องเที่ยวบ้าง โดยต้องยอมแบกรับต้นทุนเฉือนกำไรให้ลดลง เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด ส่วนภาพรวมผู้ประกอบการท่องเที่ยว ก็ต้องมีการปรับตัว ใช้หลักบริหารจัดการ ปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด สิ่งที่ห่วงมากอีกอย่างหนึ่งคือ ปีหน้า อาจได้เห็นการปรับลดพนักงานในกลุ่มของธุรกิจสายการบิน และโรงแรม ”
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ดี คือการที่ ททท.มีเป้าหมายบุกตลาดจีน และ ตลาดระยะใกล้ ที่ชัดเจน ในวิกฤตไทยก็ยังมีโอกาส เพราะ นักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะไกล ก็อาจปรับเปลี่ยนมาเดินทางระยะใกล้ทดแทน
ทางด้านนายเอนก ศรีชีวชาติ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทยญี่ปุ่น กล่าวว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ครั้งนี้ กระทบต่อนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะกลุ่มนักเล่นหุ้น อย่างแน่นอน เพราะ เมื่อหุ้นตก ทุกคนเกิดความเครียด จึงระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย โดยคาดว่า ตลาดไฮเอนด์ จะลดลงไม่น้อยกว่า 10% โดยเริ่มตั้งแต่ไฮซีซั่นนี้เป็นต้นไป และชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น แม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วก็ตาม แต่ล่าสุด ได้มีการยกเลิกทัวร์ทัศนะศึกษา ที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยในเดือนธันวาคมนี้จำนวนกว่า 100 คน ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองของเยาวชนญี่ปุ่นได้มีการหารือแล้วสรุปว่ายังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของประเทศไทย จึงไม่ต้องการให้บุตรหลานเดินทางเข้ามา ซึ่งขณะนี้ยังรอลุ้นอยู่ว่า ทริปทัศนะศึกษาของเยาวชนญี่ปุ่นเกือบ 300 คน ที่จะเดินทางมาในเดือน กุมภาพันธ์ปีหน้า จะยกเลิกตามมาอีกหรือไม่ ซึ่งความเสียหายครั้งนี้นับเป็นมูลค่าหลายล้านบาท และยังส่งผลกระทบระยะยาวที่จะทำให้ตลาดญี่ปุ่นในกลุ่มเยาวชนชะลอการเติบโต จากที่ผ่านมาจะเติบโตต่อเนื่องปีละเกือบ 20% ทุกปี โดยจะเปลี่ยนไปตลาดเวียดนาม และมาเลเซียทดแทน
ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาล เร่งหาข้อยุติเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง และเร่งเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยด่วน ก่อนที่ จะกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ด้าน ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธการบดี และคณะบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นวิทยากรผู้บรรยายรับเชิญในการประชุมสมาชิกแอตต้า กล่าวว่า มั่นใจสิ้นปีนี้รัฐบาลอาจประกาศยุบสภา ซึ่งถึงตรงนั้นเชื่อว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เกิดการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ที่มั่นใจ เพราะมองว่า ขณะนี้การพิพากษาของศาลฯคดีทุจริตเลือกตั้ง เริ่มทยอยตัดสินแล้ว และมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ หลายพรรคการเมืองอาจต้องโดยยุบเพราะทุจริตจริง เห็นได้จากเริ่มมีการจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่
นายอภิชาต สังฆอารีย นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ปัจจัยลบที่สำคัญที่กำลังจะเข้ามากระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยคือวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ขณะนี้กำลังลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปและเอเชีย ซึ่งจะทำให้กลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ มีการบริโภคสูง เป็นตลาดการส่งออก และ ลงทุน ที่สำคัญของหลายๆประเทศ ทั้ง ไทย จีน ฮ่องก และ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อสหรัฐเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จึงหนีไม่พ้นที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย และท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่อ่อนไหว เมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเช่นนี้ บวกกับสภาวะน้ำมันเชื้อเพลิงราคาแพง จึงทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง หรือ เลือกที่จะเดินทางระยะใกล้ขึ้น เพราะทุกคนต้องระมัดระวังการใช้จ่าย มีจำนวนวันพักที่สั้นลง
ล่าสุดการที่งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนไปทั่วโลก ยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ไฮซีซั่นปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เป็นผลทำให้การเติบโตของนักท่องเที่ยวและรายได้ ไม่น่าจะเป็นไปตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเติบโตราว 5% หรือ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 16 ล้านคน รายได้ 6.1 แสนล้านบาท
“วิกฤตครั้งนี้หนักกว่า วิกฤติต้มยำกุ้งหลายเท่า เพราะ สหรัฐเป็นประเทศใหญ่ จึงมองว่า ปีหน้า โรงแรมต่างๆ คงไม่ปรับขึ้นราคาห้องพัก เพื่อจูงใจให้คนยังคงเดินทางท่องเที่ยวบ้าง โดยต้องยอมแบกรับต้นทุนเฉือนกำไรให้ลดลง เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด ส่วนภาพรวมผู้ประกอบการท่องเที่ยว ก็ต้องมีการปรับตัว ใช้หลักบริหารจัดการ ปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด สิ่งที่ห่วงมากอีกอย่างหนึ่งคือ ปีหน้า อาจได้เห็นการปรับลดพนักงานในกลุ่มของธุรกิจสายการบิน และโรงแรม ”
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ดี คือการที่ ททท.มีเป้าหมายบุกตลาดจีน และ ตลาดระยะใกล้ ที่ชัดเจน ในวิกฤตไทยก็ยังมีโอกาส เพราะ นักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะไกล ก็อาจปรับเปลี่ยนมาเดินทางระยะใกล้ทดแทน
ทางด้านนายเอนก ศรีชีวชาติ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทยญี่ปุ่น กล่าวว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ครั้งนี้ กระทบต่อนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะกลุ่มนักเล่นหุ้น อย่างแน่นอน เพราะ เมื่อหุ้นตก ทุกคนเกิดความเครียด จึงระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย โดยคาดว่า ตลาดไฮเอนด์ จะลดลงไม่น้อยกว่า 10% โดยเริ่มตั้งแต่ไฮซีซั่นนี้เป็นต้นไป และชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น แม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วก็ตาม แต่ล่าสุด ได้มีการยกเลิกทัวร์ทัศนะศึกษา ที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยในเดือนธันวาคมนี้จำนวนกว่า 100 คน ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองของเยาวชนญี่ปุ่นได้มีการหารือแล้วสรุปว่ายังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของประเทศไทย จึงไม่ต้องการให้บุตรหลานเดินทางเข้ามา ซึ่งขณะนี้ยังรอลุ้นอยู่ว่า ทริปทัศนะศึกษาของเยาวชนญี่ปุ่นเกือบ 300 คน ที่จะเดินทางมาในเดือน กุมภาพันธ์ปีหน้า จะยกเลิกตามมาอีกหรือไม่ ซึ่งความเสียหายครั้งนี้นับเป็นมูลค่าหลายล้านบาท และยังส่งผลกระทบระยะยาวที่จะทำให้ตลาดญี่ปุ่นในกลุ่มเยาวชนชะลอการเติบโต จากที่ผ่านมาจะเติบโตต่อเนื่องปีละเกือบ 20% ทุกปี โดยจะเปลี่ยนไปตลาดเวียดนาม และมาเลเซียทดแทน
ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาล เร่งหาข้อยุติเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง และเร่งเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยด่วน ก่อนที่ จะกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ด้าน ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธการบดี และคณะบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นวิทยากรผู้บรรยายรับเชิญในการประชุมสมาชิกแอตต้า กล่าวว่า มั่นใจสิ้นปีนี้รัฐบาลอาจประกาศยุบสภา ซึ่งถึงตรงนั้นเชื่อว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เกิดการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ที่มั่นใจ เพราะมองว่า ขณะนี้การพิพากษาของศาลฯคดีทุจริตเลือกตั้ง เริ่มทยอยตัดสินแล้ว และมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ หลายพรรคการเมืองอาจต้องโดยยุบเพราะทุจริตจริง เห็นได้จากเริ่มมีการจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่