“สุสานโคตรโกงสุวรรณภูมิ” ที่ว่ากันว่าขุดตรงไหน คุ้ยตรงไหนก็เจอความไม่ชอบมาพากลทั้งสิ้น ปัญหารถเข็นกระเป๋าที่ “แดง” ขึ้นมายามนี้ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตอกย้ำเรื่องนี้ได้ชัดเจนมาก
ทราบกันดีว่า หลังสนามบินเปิดมากว่า 2 ปี สุวรรณภูมิไม่เพียงเป็นสนามบินที่ไม่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยแล้ว ยังเป็นสนามบินที่มีปัญหาไม่หยุดไม่หย่อน ไล่ไปตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ อย่างห้องน้ำ หลังคารั่วซึมไปจนถึงเรื่องใหญ่ รันเวย์ร้าว แท็กซี่เวย์พัง กระทั่งต้องปิดซ่อมเป็นระยะๆ เรียกได้ว่าเป็นสนามบินที่แปลก “บินไปซ่อมไป” อะเมซิ่งไทยแลนด์สำหรับแขกต่างบ้านต่างเมืองตั้งแต่แรกเห็น
ทั้งหมดนี้เป็นผลงานโบดำของรัฐบาลทักษิณที่ทิ้งเอาไว้ให้คนใช้บริการสนามบินแห่งนี้ได้ดูต่างหน้า
แม้รัฐบาลทายาทอสูรที่สืบทอดอำนาจเป็นนอมินีของรัฐบาลทักษิณที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำผ่านมา 8 เดือน ทั้งจากนายสมัคร สุนทรเวชมาถึงยุคนายกฯ “น้องเขยทักษิณ”, “สามีเจ๊แดง” อย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะพยายามปกปิดบิดบัง พยายามทำทุกอย่างเพื่อกลบลบปัญหาที่ก่อไว้ไม่ให้โผล่มาให้ถูกจับหรือถูกตีแผ่ แต่ยิ่งกลบยิ่งซุกเท่าไรเรื่องก็ยิ่งเปิดเผย
กรณีรถเข็นกระเป๋าเดิมผู้เกี่ยวข้องรวมถึงบริษัทไทยแอร์พอร์ตส์ กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ แทกส์ (TAGS) พยายามที่จะปิดข่าว แต่ปิดไม่มิดเพราะถูกโวยว่าจำนวนรถเข็นไม่พอใช้ ครั้นเมื่อกลายเป็นข่าวก็พบว่า เหตุที่ไม่พอใช้เพราะรถเข็นจำนวนมากมีปัญหาชำรุด และบางส่วนถูกลักขโมยไปขายเป็นเศษเหล็ก
รถเข็นที่ราคาแพงกว่าทองคำนั้นใช้งานมาแค่ 2 ปีก็เจ๊งแล้ว!
คนที่อึดอัดและน่าเห็นใจที่สุดก็คือพนักงานการท่าอากาศยานไทยที่ต้องคอยตอบคำถามนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทยด้วยกันที่มาใช้บริการสนามบิน พวกเขาอาย และอดสูใจ จะบอกความจริงได้หมดยังไงละว่า สนามบินที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศแท้จริงแล้วยังมีปัญหามากกว่ารถเข็นที่เห็นและเป็นอยู่
พวกเขารวมถึงผู้โดยสารพากันร้องเรียนต่อผู้บริหาร และกระทรวงคมนาคมหลายต่อหลายเรื่อง ปรากฏว่า ทุกเรื่องก็เงียบหายไปตามสายลมทำเหมือนไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น AOT ลีมูซีนมีรถผีมาวิ่งร่วมรับส่ง, การเก็บเงินอาคารที่จอดรถรั่วไหลมาก, ร้านอาหารในอาคารเขตปลอดอากรผู้ประมูลได้แต่เข้าไปขายไม่ได้, ระบบไฟฟ้า 400 เฮิรตซ์และระบบปรับอากาศ Pc-Air, ความล้มเหลวในการบริหารเขตปลอดอากร (CFZ) โดยแทกส์, ปัญหาวุ่นๆ ในศูนย์ขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
นี่ยังไม่นับรวมข้อสงสัยที่ไม่ทราบคนต้นคิดคิดได้อย่างไร อาทิ เอาบริษัทนวดฝ่าเท้ามาให้บริการสำหรับอากาศยาน!
ขยะใต้พรมเหล่านี้ต้นตอมาจากความละโมบของนักการเมืองที่พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่อำนาจของรัฐบาลทักษิณยังครอบงำประเทศ เรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่มีวันถูกตรวจสอบ
ประการสำคัญตัวละครหลักๆ ที่มีส่วนต่อความรับผิดชอบกับปัญหาของสุวรรณภูมิบัดนี้ยังอยู่กันครบ อ้วนท้วนสบายดี บางคนถึงกลับส้มหล่นขึ้นชั้นอยู่ในอำนาจตำแหน่งใหญ่โตในบ้านนี้เมืองนี้
ถามว่า ใครเมื่อใหญ่แล้วจะกลับมาสอบเรื่องของตนเองสมัยนั่งเป็นบอร์ด ใครจะกล้าสอบเรื่องที่พัวพันกับ “หลังบ้าน” ตัวเอง?
กลับมาที่รถเข็นกระเป๋าเจ๊ง พนักงานการท่าฯ รู้ว่า บริษัทของพวกเขาต้องจ่ายให้แทกส์เป็นค่าว่าจ้างเดือนละ 6.343 ล้านบาท ตามสัญญาจ้างระยะ 7 ปี หรือคิดเป็นวงเงินรวม 532.86 ล้านบาท
เงินจำนวน 532.86 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการนับหมื่นนับแสนล้านอีกหลายสัญญา ที่ทั้งแทกส์และอีกหลายบริษัทเอกชนที่เป็นพรรคพวกนักการเมืองรับสัมปทานไปอาจจะดูน้อยนิด
ทว่า.. การท่าฯ ต้องจ่ายเดือนละ 6.343 ล้านแต่สิ่งที่ได้รับคือ หนึ่ง รถเข็นไม่ได้มาตรฐาน มีน้ำหนักค่อนข้างมาก เข็นลำบาก ชำรุดเร็ว การเชื่อมโลหะไม่เรียบร้อยเป็นเหตุให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเสมอ
สอง จำนวนรถเข็นมีไม่ครบตามที่การท่าฯ กำหนด 9,034 คัน มิหนำซ้ำการท่าฯพบว่า มีการเวียนเทียนรถเข็นเพื่อให้นับครบตามจำนวน!
ข้อเท็จจริงที่รับรู้กันภายในการท่าฯ ก็คือ รถเข็นขนาดเล็กขณะนี้เหลือ 800 คันจากจำนวน 2,000 คัน ขณะที่รถเข็นขนาดกลางเหลือ 3,000 คันจาก 7,000 คัน (ตรวจสอบเมื่อเดือนกันยายน 2551)
สาม ราคารถเข็นที่ผู้รับจ้างจัดซื้อมาให้บริการสำแดงราคาสูงเกินจริง เป็นเหตุให้การท่าฯ ต้องจ่ายในอัตราสูงมาก การท่าฯ เคยได้รับการร้องเรียนจากโรงงานผู้ผลิตรถเข็นที่แทกส์ว่าจ้างให้ผลิตว่าแทกส์ไม่ยอมชำระค่าสินค้าซึ่งได้ส่งมอบให้มาใช้งานในสนามบินแล้ว และหากไม่ชำระค่าสินค้าอาจจะต้องเรียกเก็บรถเข็นกระเป๋าคืนซึ่งอาจจะทำให้การท่าฯ เสียหาย
สี่ ตั้งแต่แทกส์รับงานมาตั้งแต่กลางปี 2549 ยังไม่เคยถูกปรับ ถูกเรียกเบี้ยปรับท่ามกลางข้อครหาว่ามีความพยายามวิ่งเต้นไม่ให้คู่สัญญาคือการท่าฯ ดำเนินการตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งว่ากันว่า หากการท่าฯ เอาจริงเบี้ยปรับคันละ 2,000 บาทต่อคันต่อวัน (ซึ่งจำนวนรถขาดไป 4-5,000 คัน) คงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
เหล่านี้ว่าน่าอดสูแล้วยังไม่เท่ากับว่า การท่าฯ ในฐานะผู้ว่าจ้างนอกจากจะไม่เรียกปรับจากแทกส์แล้วยังปรากฏกระแสข่าวในทำนองว่าผู้บริหารการท่าฯ จะผ่อนปรนต่อแทกส์อย่างถึงที่สุดราวกับการท่าฯ ผิดเสียเองที่ทำให้รถเข็นกระเป๋าเกิดปัญหาขึ้น โดยจะหาทางออกให้แทกส์เสร็จสรรพเปลี่ยนรถเข็นแถมต่ออายุสัมปทานออกไปอีก
ก่อนนี้มีข่าวระบุว่า ‘แทกส์’ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ชั่วข้ามวันหลังได้บริษัท โฟร์บริชเชอร์ จำกัด บริษัทโนเนมสัญชาติสิงคโปร์ซึ่งมีคนไทยถือหุ้นเป็นนอมินีของเจ๊คนหนึ่งมาเทกโอเวอร์ ที่คอยหงอยเหงาไร้งานกลับมาผงาดกวาดต้อนงานสำคัญของการท่าฯ มาได้หลายสัญญา ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ตอนนี้เริ่มเชื่ออีกครึ่งแล้ว และเชื่อต่อไปอีกว่า ผลงานคราวนี้เจ๊คงเป็นปลื้มน่าดู.
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก
http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
ทราบกันดีว่า หลังสนามบินเปิดมากว่า 2 ปี สุวรรณภูมิไม่เพียงเป็นสนามบินที่ไม่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยแล้ว ยังเป็นสนามบินที่มีปัญหาไม่หยุดไม่หย่อน ไล่ไปตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ อย่างห้องน้ำ หลังคารั่วซึมไปจนถึงเรื่องใหญ่ รันเวย์ร้าว แท็กซี่เวย์พัง กระทั่งต้องปิดซ่อมเป็นระยะๆ เรียกได้ว่าเป็นสนามบินที่แปลก “บินไปซ่อมไป” อะเมซิ่งไทยแลนด์สำหรับแขกต่างบ้านต่างเมืองตั้งแต่แรกเห็น
ทั้งหมดนี้เป็นผลงานโบดำของรัฐบาลทักษิณที่ทิ้งเอาไว้ให้คนใช้บริการสนามบินแห่งนี้ได้ดูต่างหน้า
แม้รัฐบาลทายาทอสูรที่สืบทอดอำนาจเป็นนอมินีของรัฐบาลทักษิณที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำผ่านมา 8 เดือน ทั้งจากนายสมัคร สุนทรเวชมาถึงยุคนายกฯ “น้องเขยทักษิณ”, “สามีเจ๊แดง” อย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะพยายามปกปิดบิดบัง พยายามทำทุกอย่างเพื่อกลบลบปัญหาที่ก่อไว้ไม่ให้โผล่มาให้ถูกจับหรือถูกตีแผ่ แต่ยิ่งกลบยิ่งซุกเท่าไรเรื่องก็ยิ่งเปิดเผย
กรณีรถเข็นกระเป๋าเดิมผู้เกี่ยวข้องรวมถึงบริษัทไทยแอร์พอร์ตส์ กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ แทกส์ (TAGS) พยายามที่จะปิดข่าว แต่ปิดไม่มิดเพราะถูกโวยว่าจำนวนรถเข็นไม่พอใช้ ครั้นเมื่อกลายเป็นข่าวก็พบว่า เหตุที่ไม่พอใช้เพราะรถเข็นจำนวนมากมีปัญหาชำรุด และบางส่วนถูกลักขโมยไปขายเป็นเศษเหล็ก
รถเข็นที่ราคาแพงกว่าทองคำนั้นใช้งานมาแค่ 2 ปีก็เจ๊งแล้ว!
คนที่อึดอัดและน่าเห็นใจที่สุดก็คือพนักงานการท่าอากาศยานไทยที่ต้องคอยตอบคำถามนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทยด้วยกันที่มาใช้บริการสนามบิน พวกเขาอาย และอดสูใจ จะบอกความจริงได้หมดยังไงละว่า สนามบินที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศแท้จริงแล้วยังมีปัญหามากกว่ารถเข็นที่เห็นและเป็นอยู่
พวกเขารวมถึงผู้โดยสารพากันร้องเรียนต่อผู้บริหาร และกระทรวงคมนาคมหลายต่อหลายเรื่อง ปรากฏว่า ทุกเรื่องก็เงียบหายไปตามสายลมทำเหมือนไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น AOT ลีมูซีนมีรถผีมาวิ่งร่วมรับส่ง, การเก็บเงินอาคารที่จอดรถรั่วไหลมาก, ร้านอาหารในอาคารเขตปลอดอากรผู้ประมูลได้แต่เข้าไปขายไม่ได้, ระบบไฟฟ้า 400 เฮิรตซ์และระบบปรับอากาศ Pc-Air, ความล้มเหลวในการบริหารเขตปลอดอากร (CFZ) โดยแทกส์, ปัญหาวุ่นๆ ในศูนย์ขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
นี่ยังไม่นับรวมข้อสงสัยที่ไม่ทราบคนต้นคิดคิดได้อย่างไร อาทิ เอาบริษัทนวดฝ่าเท้ามาให้บริการสำหรับอากาศยาน!
ขยะใต้พรมเหล่านี้ต้นตอมาจากความละโมบของนักการเมืองที่พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่อำนาจของรัฐบาลทักษิณยังครอบงำประเทศ เรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่มีวันถูกตรวจสอบ
ประการสำคัญตัวละครหลักๆ ที่มีส่วนต่อความรับผิดชอบกับปัญหาของสุวรรณภูมิบัดนี้ยังอยู่กันครบ อ้วนท้วนสบายดี บางคนถึงกลับส้มหล่นขึ้นชั้นอยู่ในอำนาจตำแหน่งใหญ่โตในบ้านนี้เมืองนี้
ถามว่า ใครเมื่อใหญ่แล้วจะกลับมาสอบเรื่องของตนเองสมัยนั่งเป็นบอร์ด ใครจะกล้าสอบเรื่องที่พัวพันกับ “หลังบ้าน” ตัวเอง?
กลับมาที่รถเข็นกระเป๋าเจ๊ง พนักงานการท่าฯ รู้ว่า บริษัทของพวกเขาต้องจ่ายให้แทกส์เป็นค่าว่าจ้างเดือนละ 6.343 ล้านบาท ตามสัญญาจ้างระยะ 7 ปี หรือคิดเป็นวงเงินรวม 532.86 ล้านบาท
เงินจำนวน 532.86 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการนับหมื่นนับแสนล้านอีกหลายสัญญา ที่ทั้งแทกส์และอีกหลายบริษัทเอกชนที่เป็นพรรคพวกนักการเมืองรับสัมปทานไปอาจจะดูน้อยนิด
ทว่า.. การท่าฯ ต้องจ่ายเดือนละ 6.343 ล้านแต่สิ่งที่ได้รับคือ หนึ่ง รถเข็นไม่ได้มาตรฐาน มีน้ำหนักค่อนข้างมาก เข็นลำบาก ชำรุดเร็ว การเชื่อมโลหะไม่เรียบร้อยเป็นเหตุให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเสมอ
สอง จำนวนรถเข็นมีไม่ครบตามที่การท่าฯ กำหนด 9,034 คัน มิหนำซ้ำการท่าฯพบว่า มีการเวียนเทียนรถเข็นเพื่อให้นับครบตามจำนวน!
ข้อเท็จจริงที่รับรู้กันภายในการท่าฯ ก็คือ รถเข็นขนาดเล็กขณะนี้เหลือ 800 คันจากจำนวน 2,000 คัน ขณะที่รถเข็นขนาดกลางเหลือ 3,000 คันจาก 7,000 คัน (ตรวจสอบเมื่อเดือนกันยายน 2551)
สาม ราคารถเข็นที่ผู้รับจ้างจัดซื้อมาให้บริการสำแดงราคาสูงเกินจริง เป็นเหตุให้การท่าฯ ต้องจ่ายในอัตราสูงมาก การท่าฯ เคยได้รับการร้องเรียนจากโรงงานผู้ผลิตรถเข็นที่แทกส์ว่าจ้างให้ผลิตว่าแทกส์ไม่ยอมชำระค่าสินค้าซึ่งได้ส่งมอบให้มาใช้งานในสนามบินแล้ว และหากไม่ชำระค่าสินค้าอาจจะต้องเรียกเก็บรถเข็นกระเป๋าคืนซึ่งอาจจะทำให้การท่าฯ เสียหาย
สี่ ตั้งแต่แทกส์รับงานมาตั้งแต่กลางปี 2549 ยังไม่เคยถูกปรับ ถูกเรียกเบี้ยปรับท่ามกลางข้อครหาว่ามีความพยายามวิ่งเต้นไม่ให้คู่สัญญาคือการท่าฯ ดำเนินการตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งว่ากันว่า หากการท่าฯ เอาจริงเบี้ยปรับคันละ 2,000 บาทต่อคันต่อวัน (ซึ่งจำนวนรถขาดไป 4-5,000 คัน) คงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
เหล่านี้ว่าน่าอดสูแล้วยังไม่เท่ากับว่า การท่าฯ ในฐานะผู้ว่าจ้างนอกจากจะไม่เรียกปรับจากแทกส์แล้วยังปรากฏกระแสข่าวในทำนองว่าผู้บริหารการท่าฯ จะผ่อนปรนต่อแทกส์อย่างถึงที่สุดราวกับการท่าฯ ผิดเสียเองที่ทำให้รถเข็นกระเป๋าเกิดปัญหาขึ้น โดยจะหาทางออกให้แทกส์เสร็จสรรพเปลี่ยนรถเข็นแถมต่ออายุสัมปทานออกไปอีก
ก่อนนี้มีข่าวระบุว่า ‘แทกส์’ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ชั่วข้ามวันหลังได้บริษัท โฟร์บริชเชอร์ จำกัด บริษัทโนเนมสัญชาติสิงคโปร์ซึ่งมีคนไทยถือหุ้นเป็นนอมินีของเจ๊คนหนึ่งมาเทกโอเวอร์ ที่คอยหงอยเหงาไร้งานกลับมาผงาดกวาดต้อนงานสำคัญของการท่าฯ มาได้หลายสัญญา ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ตอนนี้เริ่มเชื่ออีกครึ่งแล้ว และเชื่อต่อไปอีกว่า ผลงานคราวนี้เจ๊คงเป็นปลื้มน่าดู.
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก
http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th