เอเอฟพี - แซราห์ แพลิน ก้าวขึ้นเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ด้วยรัศมีแบบดาราอันโดดเด่น พร้อมทั้งเป็นแรงอัดฉีดพลังชีวิตให้กับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของจอห์น แมคเคน อย่างชนิดที่อาจเรียกว่าเป็นยากระตุ้น "ไวอากราทางการเมือง"
ทว่าเพียงหนึ่งเดือนให้หลัง คะแนนนิยมในตัวผู้ว่าการหญิงแห่งมลรัฐแอลาสสกาก็เริ่มซาลง หลังจากที่เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน 3 ครั้ง และกำลังจะต้องขึ้นโต้วาทีกับคู่แข่งมากประสบการณ์อย่างวุฒิสมาชิก โจเซฟ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในวันพฤหัสบดี (2 ต.ค.)
การโต้วาทีระหว่างคู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีของ 2 พรรคใหญ่เช่นนี้ ย่อมเป็นด่านทดสอบใหญ่ที่สุดในการหาเสียง แต่สำหรับแพลินในเวลานี้ มันกลายเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเธอทำได้ไม่ดีเลย ระหว่างให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในช่วงไพรม์ไทม์
แจ๊ก ซิตริน ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ กล่าวว่าแพลินประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นใน "การระดมและกระตุ้น" เสียงสนับสนุน ด้วยความที่เธอเป็นคนหน้าใหม่ที่น่าสนใจ แต่ตอนนี้กระแสความนิยมในตัวเธอกำลังลดลง
"มุมมองของเธอและการนำเสนอความเป็นตัวเธอออกมานั้นเป็นที่ถูกใจพวกผู้ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่ไม่ค่อยประทับใจแมคเคนมากนัก"
"แต่มาถึงเวลานี้ ความสนใจได้หันมายังจุดที่ว่าเธอรู้หรือไม่รู้เรื่องไหนบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งผู้คนกำลังรู้สึกตื่นตระหนกและรู้สึกถึงอันตราย" ซิตรินกล่าว
การให้สัมภาษณ์ทางซีบีเอส ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ 1 ใน 3 ครั้งที่ทีมหาเสียงของแมคเคนอนุญาตให้แก่สื่อมวลชน นับแต่ที่เธอก้าวผงาดขึ้นมา กลับยิ่งทำให้ผู้คนสงสัยในความสามารถของแพลินมากขึ้น
ทั้งนี้ นอกจากเธอกล่าวย้ำโดยไม่ได้อธิบายรายละเอียดว่า การที่รัฐแอลาสกาอยู่ใกล้กับรัสเซียนั้นช่วยให้เธอมีประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ทางด้านนโยบายต่างประเทศ เธอยังกล่าวอย่างอาจหาญว่ากองทัพสหรัฐฯ นั้นได้รับ "ชัยชนะ" ในอิรัก ซึ่งแม้แต่แมคเคนก็คงไม่กล้าเอ่ยออกมาอย่างเต็มปาก
โทนี เฟบริซิโอ นักยุทธศาสตร์ของรีพับลิกัน บอกว่าคำสัมภาษณ์ของแพลินนั้นน่าเป็นห่วงทีเดียว "คุณจะให้สัมภาษณ์อย่างนั้นอีกไม่ได้ เพราะจะต้องถูกโจมตีเล่นงานแน่ๆ"
เช่นเดียวกัน แม้แต่คอลัมนิสต์ผู้สนับสนุนรีพับลิกันอย่างแคทลีน ปาร์เกอร์ ก็ระบุว่า ผลงานจากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าแพลินนั้นเป็นตัวขัดขวางพรรคและควรจะลาออกไปเสีย
จากผลสำรวจความคิดเห็นของซีเอ็นเอ็น/โอพิเนียน รีเสิร์ช คอร์ปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ร้อยละ 49 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความเห็นว่าแพลินนั้นขาดคุณสมบัติของผู้นำซึ่งจำเป็นสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี
ทว่านักวิเคราะห์บางส่วนเห็นว่า การที่แพลินอ่อนประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเสียงสนับสนุนตัวเธอในหมู่ฐานเสียงสมาชิกพรรครีพับลิกัน เพราะกลุ่มนี้ขานรับความคิดแบบอนุรักษ์ของเธอทั้งในเรื่องของการต่อต้านการทำแท้ง การยืนหยัดสิทธิถือครองอาวุธปืน และเรื่องศาสนา
อย่างไรก็ดี เชอร์รี เบบิตช์ เจฟฟ์ นักวิเคราะห์การเมืองจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียชี้ว่า สำหรับกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่สนับสนุนหญิงของฮิลลารี คลินตันนั้น แพลินคงไม่สามารถดึงคนเหล่านี้ให้มาสนับสนุนเธอได้
ขณะเดียวกัน ซิตรินชี้ว่า แม้ตามธรรมดาแล้วผู้ออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี มักไม่ค่อยนึกถึงคนที่สมัครเป็นรองประธานาธิบดีเท่าใดนัก แต่สำหรับกรณีแมคเคนซึ่งมีอายุถึง 72 ปีแล้ว นี่ย่อมทำให้คุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นรองประธานาธิบดี กลายเป็นสิ่งที่ถูกพิจารณามากกว่าปกติ
ทว่าเพียงหนึ่งเดือนให้หลัง คะแนนนิยมในตัวผู้ว่าการหญิงแห่งมลรัฐแอลาสสกาก็เริ่มซาลง หลังจากที่เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน 3 ครั้ง และกำลังจะต้องขึ้นโต้วาทีกับคู่แข่งมากประสบการณ์อย่างวุฒิสมาชิก โจเซฟ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในวันพฤหัสบดี (2 ต.ค.)
การโต้วาทีระหว่างคู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีของ 2 พรรคใหญ่เช่นนี้ ย่อมเป็นด่านทดสอบใหญ่ที่สุดในการหาเสียง แต่สำหรับแพลินในเวลานี้ มันกลายเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเธอทำได้ไม่ดีเลย ระหว่างให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในช่วงไพรม์ไทม์
แจ๊ก ซิตริน ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ กล่าวว่าแพลินประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นใน "การระดมและกระตุ้น" เสียงสนับสนุน ด้วยความที่เธอเป็นคนหน้าใหม่ที่น่าสนใจ แต่ตอนนี้กระแสความนิยมในตัวเธอกำลังลดลง
"มุมมองของเธอและการนำเสนอความเป็นตัวเธอออกมานั้นเป็นที่ถูกใจพวกผู้ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่ไม่ค่อยประทับใจแมคเคนมากนัก"
"แต่มาถึงเวลานี้ ความสนใจได้หันมายังจุดที่ว่าเธอรู้หรือไม่รู้เรื่องไหนบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งผู้คนกำลังรู้สึกตื่นตระหนกและรู้สึกถึงอันตราย" ซิตรินกล่าว
การให้สัมภาษณ์ทางซีบีเอส ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ 1 ใน 3 ครั้งที่ทีมหาเสียงของแมคเคนอนุญาตให้แก่สื่อมวลชน นับแต่ที่เธอก้าวผงาดขึ้นมา กลับยิ่งทำให้ผู้คนสงสัยในความสามารถของแพลินมากขึ้น
ทั้งนี้ นอกจากเธอกล่าวย้ำโดยไม่ได้อธิบายรายละเอียดว่า การที่รัฐแอลาสกาอยู่ใกล้กับรัสเซียนั้นช่วยให้เธอมีประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ทางด้านนโยบายต่างประเทศ เธอยังกล่าวอย่างอาจหาญว่ากองทัพสหรัฐฯ นั้นได้รับ "ชัยชนะ" ในอิรัก ซึ่งแม้แต่แมคเคนก็คงไม่กล้าเอ่ยออกมาอย่างเต็มปาก
โทนี เฟบริซิโอ นักยุทธศาสตร์ของรีพับลิกัน บอกว่าคำสัมภาษณ์ของแพลินนั้นน่าเป็นห่วงทีเดียว "คุณจะให้สัมภาษณ์อย่างนั้นอีกไม่ได้ เพราะจะต้องถูกโจมตีเล่นงานแน่ๆ"
เช่นเดียวกัน แม้แต่คอลัมนิสต์ผู้สนับสนุนรีพับลิกันอย่างแคทลีน ปาร์เกอร์ ก็ระบุว่า ผลงานจากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าแพลินนั้นเป็นตัวขัดขวางพรรคและควรจะลาออกไปเสีย
จากผลสำรวจความคิดเห็นของซีเอ็นเอ็น/โอพิเนียน รีเสิร์ช คอร์ปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ร้อยละ 49 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความเห็นว่าแพลินนั้นขาดคุณสมบัติของผู้นำซึ่งจำเป็นสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี
ทว่านักวิเคราะห์บางส่วนเห็นว่า การที่แพลินอ่อนประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเสียงสนับสนุนตัวเธอในหมู่ฐานเสียงสมาชิกพรรครีพับลิกัน เพราะกลุ่มนี้ขานรับความคิดแบบอนุรักษ์ของเธอทั้งในเรื่องของการต่อต้านการทำแท้ง การยืนหยัดสิทธิถือครองอาวุธปืน และเรื่องศาสนา
อย่างไรก็ดี เชอร์รี เบบิตช์ เจฟฟ์ นักวิเคราะห์การเมืองจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียชี้ว่า สำหรับกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่สนับสนุนหญิงของฮิลลารี คลินตันนั้น แพลินคงไม่สามารถดึงคนเหล่านี้ให้มาสนับสนุนเธอได้
ขณะเดียวกัน ซิตรินชี้ว่า แม้ตามธรรมดาแล้วผู้ออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี มักไม่ค่อยนึกถึงคนที่สมัครเป็นรองประธานาธิบดีเท่าใดนัก แต่สำหรับกรณีแมคเคนซึ่งมีอายุถึง 72 ปีแล้ว นี่ย่อมทำให้คุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นรองประธานาธิบดี กลายเป็นสิ่งที่ถูกพิจารณามากกว่าปกติ
