มนุษย์กระหายที่จะติดต่อกับมนุษย์ถิ่นอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้องถิ่นที่อยู่ทางทะเลจะมีลักษณะที่มองไปในท้องทะเลกว้างใหญ่และอยากเดินทางเพื่อค้นหาสิ่งที่ลึกลับ การผจญภัยทางทะเลเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยการเดินทางนั้นเริ่มต้นด้วยการต่อแพหรือเรือเล็กๆ ไปในระยะใกล้ๆ และต่อมาก็กลายเป็นเรือใบพร้อมทั้งมีการแจว จนกระทั่งกลายเป็นเรือกลไฟมีเครื่องจักรไอน้ำ มาปัจจุบันเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีการค้นพบเครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งตามมาด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การเดินทางโดยทางเรือนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ยุโรปซึ่งต้องการติดต่อเพื่อค้าขายหาสินค้าแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องเทศ และที่สำคัญคือการแข่งกันสร้างอำนาจคือการค้าด้วยการสะสมทองคำ ลัทธิสร้างอำนาจจากการค้าทางเรือไปยังดินแดนต่างๆ นำไปสู่การพยายามหาอาณานิคม ลัทธิการสร้างอำนาจจากการค้านี้เรียกว่า Mercantilism กองเรือของสเปนอันทรงพลังเรียกว่า amada
อังกฤษแข่งขันกับสเปนและฝรั่งเศส นอกจากนั้นก็มีโปรตุเกส ฮอลันดา การแข่งขันทางเรือนี้ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ขณะเดียวกันในท้องทะเลหลวงก็มีโจรสลัดซึ่งก็หากินจากการปล้นสะดม บางครั้งผู้ทำการค้าขายซึ่งเป็นผู้ครองนครยังมีการผูกไมตรีกับโจรสลัด เพื่อให้โจรสลัดเล่นงานประเทศคู่แข่ง การเดินทางเยี่ยงนี้จึงเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมนำไปสู่การค้นพบดินแดนใหม่ๆ โดยนักผจญภัยทะเล เช่น เฟอร์ดินาน แมคเจนแลน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อเมริโก เวสปุชชี
พวกที่ชอบเดินทางอีกกลุ่มหนึ่งคือหมอสอนศาสนาซึ่งต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ เพื่อให้คนนอกรีตหันมานับถือศาสนาคริสเตียน อันเป็นการปูทางให้ตนเองได้รับใช้พระเจ้าและไปสู่สรวงสวรรค์ ในกรณีของจีนนั้นพระถังซำจั๋งก็ได้เดินทางไปอินเดียไปศึกษาธรรมะทางพระพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยนานันทะ จะเห็นได้ว่าการเดินเรือติดต่อกันนั้นมุ่งเน้นการค้า การหาสินค้าที่ตนไม่มี การขยายอาณาเขตล่าอาณานิคม และการเผยแผ่ศาสนา รวมทั้งนำเอาวัฒนธรรมของตนไปขยายในที่อื่น ดังนั้น การติดต่อสมัยโบราณจึงเป็นทั้งทางการเมือง เมื่อมีเมืองขึ้นก็ต้องมีการบริหารอาณานิคม การค้า เศรษฐกิจ ลัทธิความเชื่อ และสังคม
ในเอเชียนั้นก็มีชาวอินเดียที่เป็นพ่อค้า รวมทั้งเป็นพราหมณ์ที่ขยายอิทธิพลไปในเอเชียอาคเนย์ เช่น มีอิทธิพลของพราหมณ์ที่นครศรีธรรมราช ที่บาหลี และที่อื่นๆ ในส่วนของจีนนั้นเรือสำเภาจีนซึ่งมีทั้งเรือค้าขายและโจรสลัดในทะเลจีน และที่ขึ้นชื่อที่สุดคือเรือมหาสมบัติในราชวงศ์หมิง นำโดยเจิ้งเหอซึ่งเป็นชาวมองโกเลีย จีนเรียกว่า เจ้าพ่อซำปอกง เดินทางบางครั้งใช้เรือกว่าหนึ่งร้อยลำ ผู้เดินทาง 28,000 คน แปรขบวนเป็นรูปนกนางแอ่น ใช้ธงสีส่งสัญญาณจัดขบวน เรือบางลำบรรทุกคนโดยสาร 500 คน มีการปลูกผัก มีการเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เป็ด บนเรือ นอกจากนั้นยังมีกองเรือม้าเมื่อจอดขึ้นฝั่งนักรบจะใส่เสื้อเกราะขี่ม้าขึ้นฝั่งทันที บนเรือยังมีนางบำเรอกว่าสองพันคน พร้อมทั้งนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น นักพฤกษศาสตร์ นักสัตวศาสตร์ เพื่อทำการวิจัย เรือแต่ละลำใต้ท้องเรือจะทำเป็นช่องๆ เป็นรังผึ้ง เมื่อชนหินโสโครกก็จะมีน้ำเข้าเฉพาะส่วนนั้นจะไม่จมทั้งลำ เรือลำใหญ่สุดมีเสากระโดงใบ 9 เสา ความสูง 3 ชั้น แบ่งเป็นชั้นที่เก็บอาหาร ชั้นที่ทำงาน และชั้นที่พักหลับนอน เดินทางฝ่าไปยังเจ็ดน่านน้ำ และมีหลักฐานเชื่อแน่ว่าไปถึงอเมริกาและออสเตรเลีย ส่วนจะถึงขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่
การเดินทางทางบก เดินทางด้วยม้าและอูฐ ในกรณีแอฟริกาหรือเอเชียก็อาจมีการเดินทางด้วยช้าง เส้นทางที่มีชื่อที่สุดในเอเชียที่ค้าขายกันคือทางสายไหม ในสมัยราชวงศ์ถังมีการค้าขายกับโรมัน ฮ่องเต้ราชวงศ์ถังถึงกับอนุญาตให้หมอสอนศาสนาโรมันเผยแพร่ศาสนาและคำสอนให้กับประชาชนชาวจีน นอกจากนั้นยังมีการเปิดให้มีการแปลงสัญชาติให้เป็นประชาชนชาวถัง และรับเข้ารับราชการด้วย
ในการเดินทางทางอากาศนั้นเริ่มต้นจากการพยายามติดปีกเพื่อให้บินได้เหมือนนก กระโดดลงมาจากที่สูง แต่กำลังแขนไม่พอส่วนมากก็ถึงแก่ความตาย จนมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า“ถ้าพระเจ้าอยากให้คนบินได้ก็คงจะให้ปีกเช่นเดียวกับนก” ต่อมาก็มีการสร้างบอลลูนและเรือเหาะ จนมาถึงการสร้างเครื่องบิน ในปัจจุบันมีการติดต่อกันอย่างง่ายดายด้วยเครื่องบินความเร็วสูง
ภาษาที่ใช้ในสมัยนั้นแรกเริ่มน่าจะใช้ภาษาใบ้ แต่ต่อมาเมื่อมีคนไปอยู่ประเทศหนึ่งประเทศใดนานพอสมควร หรือเดินทางบ่อยๆ ครั้งก็เริ่มถ่ายทอดภาษาของกันและกัน คนเหล่านี้เมื่อมีจำนวนมากขึ้นก็อาจจะทำหน้าที่เป็นล่ามได้ ส่วนใหญ่จะมีภาษาหลัก เช่น ในยุโรปสมัยโรมัน หรือแม้หลังจากนั้นภาษาละตินก็เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันทั่วไป ในเอเชียนั้นภาษาจีนน่าจะเป็นภาษาที่เป็นที่นิยมที่สุด และต่อมาในยุคล่าอาณานิคมภาษาที่ใช้มากที่สุดคือภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน จะเห็นได้ว่า 3 ภาษาที่กล่าวมานี้รวมทั้งภาษาจีนบวกภาษารัสเซียเป็นห้าภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสหประชาชาติ สนธิสัญญาของไทยที่ทำกับประเทศอื่นบางครั้งทำเป็น 4 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส
การเดินทางติดต่อของมนุษย์ต่างถิ่นเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วัฒนธรรมใดที่แข็งกว่าก็จะทรงอิทธิพลครอบงำวัฒนธรรมอื่น เช่น ในเอเชียนั้นวัฒนธรรมจีนแผ่ไปที่ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม วัฒนธรรมอินเดียครอบไปทั่วเอเชียอาคเนย์ วัฒนธรรมสเปนและภาษาครอบไปทั่วละตินอเมริกา ส่วนยุโรปภายใต้วัฒนธรรมของกรีกและโรมันในปัจจุบัน การติดต่อกันอย่างง่ายดาย การค้าที่ข้ามแดน การสื่อสารที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนำไปสู่วัฒนธรรมโลกาภิวัตน์
ข้อสังเกตคือ ความแตกต่างของวัฒนธรรมจะลดลง เช่น การแต่งกาย แม้กระทั่งหน้าตาของคนในภูมิภาค คนไทยสามารถเป็นได้ทั้งคนจีน เกาหลี เวียดนาม มลายู อินเดีย ฝรั่ง โดยเฉพาะพวกลูกครึ่ง ฯลฯ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารก็สะดวกสบายยิ่งขึ้น และยังมีภาษาที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เช่น ภาษาในทางการค้าซึ่งมีคำว่า การลงทุน อัตราดอกเบี้ย จุดกำไร อัตราการแลกเปลี่ยน ฯลฯ จากการติดต่อกันอย่างรวดเร็วและถี่ยิบเช่นนี้ โลกกำลังจะกลายเป็นหมู่บ้านที่เรียกว่า Global Village
ข้อที่จะเรียนรู้ก็คือ ในยุคโลกาภิวัตน์ภาษาและความรู้ที่จำเป็นต้องพัฒนาเพื่อไม่ให้ตกยุคคือ ความรู้ในเรื่องสมองกล ความรู้เรื่องการค้าระหว่างประเทศ แนวโน้มของโลกที่ส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน การค้าเสรี การเคารพสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และการรักษาสภาพแวดล้อม ในทางเศรษฐกิจและการค้านั้นจำเป็นต้องติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงิน สถานการณ์ตลาดหุ้น การขยายตัวของมหาอำนาจต่างๆ ในทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตคือ BRIC (Brazil, Russia, India and China) นอกจากนี้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเกี่ยวพันกับการสร้างอาวุธ การสร้างเครื่องจักรอันทันสมัย และการวิจัยเกี่ยวกับพลังงาน ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ในส่วนของภาษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักภาษาสมองกล ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน
ในยุคศตวรรษที่ 21 ใครก็ตามที่อ่อนภาษาอังกฤษและไม่ประสีประสากับเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลสมัยใหม่จะกลายเป็นคนที่ตกยุคในทันที และไม่สามารถจะดึงศักยภาพความรู้ความสามารถของตนออกมาเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติได้ สถาบันการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมุ่งเน้นถึงวิชาแขนงความรู้ต่างๆ มาแล้วเบื้องต้น
การเดินทางโดยทางเรือนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ยุโรปซึ่งต้องการติดต่อเพื่อค้าขายหาสินค้าแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องเทศ และที่สำคัญคือการแข่งกันสร้างอำนาจคือการค้าด้วยการสะสมทองคำ ลัทธิสร้างอำนาจจากการค้าทางเรือไปยังดินแดนต่างๆ นำไปสู่การพยายามหาอาณานิคม ลัทธิการสร้างอำนาจจากการค้านี้เรียกว่า Mercantilism กองเรือของสเปนอันทรงพลังเรียกว่า amada
อังกฤษแข่งขันกับสเปนและฝรั่งเศส นอกจากนั้นก็มีโปรตุเกส ฮอลันดา การแข่งขันทางเรือนี้ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ขณะเดียวกันในท้องทะเลหลวงก็มีโจรสลัดซึ่งก็หากินจากการปล้นสะดม บางครั้งผู้ทำการค้าขายซึ่งเป็นผู้ครองนครยังมีการผูกไมตรีกับโจรสลัด เพื่อให้โจรสลัดเล่นงานประเทศคู่แข่ง การเดินทางเยี่ยงนี้จึงเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมนำไปสู่การค้นพบดินแดนใหม่ๆ โดยนักผจญภัยทะเล เช่น เฟอร์ดินาน แมคเจนแลน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อเมริโก เวสปุชชี
พวกที่ชอบเดินทางอีกกลุ่มหนึ่งคือหมอสอนศาสนาซึ่งต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ เพื่อให้คนนอกรีตหันมานับถือศาสนาคริสเตียน อันเป็นการปูทางให้ตนเองได้รับใช้พระเจ้าและไปสู่สรวงสวรรค์ ในกรณีของจีนนั้นพระถังซำจั๋งก็ได้เดินทางไปอินเดียไปศึกษาธรรมะทางพระพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยนานันทะ จะเห็นได้ว่าการเดินเรือติดต่อกันนั้นมุ่งเน้นการค้า การหาสินค้าที่ตนไม่มี การขยายอาณาเขตล่าอาณานิคม และการเผยแผ่ศาสนา รวมทั้งนำเอาวัฒนธรรมของตนไปขยายในที่อื่น ดังนั้น การติดต่อสมัยโบราณจึงเป็นทั้งทางการเมือง เมื่อมีเมืองขึ้นก็ต้องมีการบริหารอาณานิคม การค้า เศรษฐกิจ ลัทธิความเชื่อ และสังคม
ในเอเชียนั้นก็มีชาวอินเดียที่เป็นพ่อค้า รวมทั้งเป็นพราหมณ์ที่ขยายอิทธิพลไปในเอเชียอาคเนย์ เช่น มีอิทธิพลของพราหมณ์ที่นครศรีธรรมราช ที่บาหลี และที่อื่นๆ ในส่วนของจีนนั้นเรือสำเภาจีนซึ่งมีทั้งเรือค้าขายและโจรสลัดในทะเลจีน และที่ขึ้นชื่อที่สุดคือเรือมหาสมบัติในราชวงศ์หมิง นำโดยเจิ้งเหอซึ่งเป็นชาวมองโกเลีย จีนเรียกว่า เจ้าพ่อซำปอกง เดินทางบางครั้งใช้เรือกว่าหนึ่งร้อยลำ ผู้เดินทาง 28,000 คน แปรขบวนเป็นรูปนกนางแอ่น ใช้ธงสีส่งสัญญาณจัดขบวน เรือบางลำบรรทุกคนโดยสาร 500 คน มีการปลูกผัก มีการเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เป็ด บนเรือ นอกจากนั้นยังมีกองเรือม้าเมื่อจอดขึ้นฝั่งนักรบจะใส่เสื้อเกราะขี่ม้าขึ้นฝั่งทันที บนเรือยังมีนางบำเรอกว่าสองพันคน พร้อมทั้งนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น นักพฤกษศาสตร์ นักสัตวศาสตร์ เพื่อทำการวิจัย เรือแต่ละลำใต้ท้องเรือจะทำเป็นช่องๆ เป็นรังผึ้ง เมื่อชนหินโสโครกก็จะมีน้ำเข้าเฉพาะส่วนนั้นจะไม่จมทั้งลำ เรือลำใหญ่สุดมีเสากระโดงใบ 9 เสา ความสูง 3 ชั้น แบ่งเป็นชั้นที่เก็บอาหาร ชั้นที่ทำงาน และชั้นที่พักหลับนอน เดินทางฝ่าไปยังเจ็ดน่านน้ำ และมีหลักฐานเชื่อแน่ว่าไปถึงอเมริกาและออสเตรเลีย ส่วนจะถึงขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่
การเดินทางทางบก เดินทางด้วยม้าและอูฐ ในกรณีแอฟริกาหรือเอเชียก็อาจมีการเดินทางด้วยช้าง เส้นทางที่มีชื่อที่สุดในเอเชียที่ค้าขายกันคือทางสายไหม ในสมัยราชวงศ์ถังมีการค้าขายกับโรมัน ฮ่องเต้ราชวงศ์ถังถึงกับอนุญาตให้หมอสอนศาสนาโรมันเผยแพร่ศาสนาและคำสอนให้กับประชาชนชาวจีน นอกจากนั้นยังมีการเปิดให้มีการแปลงสัญชาติให้เป็นประชาชนชาวถัง และรับเข้ารับราชการด้วย
ในการเดินทางทางอากาศนั้นเริ่มต้นจากการพยายามติดปีกเพื่อให้บินได้เหมือนนก กระโดดลงมาจากที่สูง แต่กำลังแขนไม่พอส่วนมากก็ถึงแก่ความตาย จนมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า“ถ้าพระเจ้าอยากให้คนบินได้ก็คงจะให้ปีกเช่นเดียวกับนก” ต่อมาก็มีการสร้างบอลลูนและเรือเหาะ จนมาถึงการสร้างเครื่องบิน ในปัจจุบันมีการติดต่อกันอย่างง่ายดายด้วยเครื่องบินความเร็วสูง
ภาษาที่ใช้ในสมัยนั้นแรกเริ่มน่าจะใช้ภาษาใบ้ แต่ต่อมาเมื่อมีคนไปอยู่ประเทศหนึ่งประเทศใดนานพอสมควร หรือเดินทางบ่อยๆ ครั้งก็เริ่มถ่ายทอดภาษาของกันและกัน คนเหล่านี้เมื่อมีจำนวนมากขึ้นก็อาจจะทำหน้าที่เป็นล่ามได้ ส่วนใหญ่จะมีภาษาหลัก เช่น ในยุโรปสมัยโรมัน หรือแม้หลังจากนั้นภาษาละตินก็เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันทั่วไป ในเอเชียนั้นภาษาจีนน่าจะเป็นภาษาที่เป็นที่นิยมที่สุด และต่อมาในยุคล่าอาณานิคมภาษาที่ใช้มากที่สุดคือภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน จะเห็นได้ว่า 3 ภาษาที่กล่าวมานี้รวมทั้งภาษาจีนบวกภาษารัสเซียเป็นห้าภาษาที่ใช้สื่อสารกันในสหประชาชาติ สนธิสัญญาของไทยที่ทำกับประเทศอื่นบางครั้งทำเป็น 4 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส
การเดินทางติดต่อของมนุษย์ต่างถิ่นเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วัฒนธรรมใดที่แข็งกว่าก็จะทรงอิทธิพลครอบงำวัฒนธรรมอื่น เช่น ในเอเชียนั้นวัฒนธรรมจีนแผ่ไปที่ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม วัฒนธรรมอินเดียครอบไปทั่วเอเชียอาคเนย์ วัฒนธรรมสเปนและภาษาครอบไปทั่วละตินอเมริกา ส่วนยุโรปภายใต้วัฒนธรรมของกรีกและโรมันในปัจจุบัน การติดต่อกันอย่างง่ายดาย การค้าที่ข้ามแดน การสื่อสารที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนำไปสู่วัฒนธรรมโลกาภิวัตน์
ข้อสังเกตคือ ความแตกต่างของวัฒนธรรมจะลดลง เช่น การแต่งกาย แม้กระทั่งหน้าตาของคนในภูมิภาค คนไทยสามารถเป็นได้ทั้งคนจีน เกาหลี เวียดนาม มลายู อินเดีย ฝรั่ง โดยเฉพาะพวกลูกครึ่ง ฯลฯ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารก็สะดวกสบายยิ่งขึ้น และยังมีภาษาที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เช่น ภาษาในทางการค้าซึ่งมีคำว่า การลงทุน อัตราดอกเบี้ย จุดกำไร อัตราการแลกเปลี่ยน ฯลฯ จากการติดต่อกันอย่างรวดเร็วและถี่ยิบเช่นนี้ โลกกำลังจะกลายเป็นหมู่บ้านที่เรียกว่า Global Village
ข้อที่จะเรียนรู้ก็คือ ในยุคโลกาภิวัตน์ภาษาและความรู้ที่จำเป็นต้องพัฒนาเพื่อไม่ให้ตกยุคคือ ความรู้ในเรื่องสมองกล ความรู้เรื่องการค้าระหว่างประเทศ แนวโน้มของโลกที่ส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน การค้าเสรี การเคารพสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และการรักษาสภาพแวดล้อม ในทางเศรษฐกิจและการค้านั้นจำเป็นต้องติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงิน สถานการณ์ตลาดหุ้น การขยายตัวของมหาอำนาจต่างๆ ในทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตคือ BRIC (Brazil, Russia, India and China) นอกจากนี้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเกี่ยวพันกับการสร้างอาวุธ การสร้างเครื่องจักรอันทันสมัย และการวิจัยเกี่ยวกับพลังงาน ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ในส่วนของภาษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักภาษาสมองกล ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน
ในยุคศตวรรษที่ 21 ใครก็ตามที่อ่อนภาษาอังกฤษและไม่ประสีประสากับเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลสมัยใหม่จะกลายเป็นคนที่ตกยุคในทันที และไม่สามารถจะดึงศักยภาพความรู้ความสามารถของตนออกมาเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติได้ สถาบันการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมุ่งเน้นถึงวิชาแขนงความรู้ต่างๆ มาแล้วเบื้องต้น