ศูนย์ข่าวศรีราชา - เครือสหพัฒน์ พร้อมผุดโปรเจกต์ยักษ์ปี 52 ภายใต้งบลงทุนกว่า 2 พันล้าน ทั้งขยายพื้นที่สวนอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในเนื้อที่ 300ไร่ ที่อ.แม่สอด จ.ตาก รับโรงงานอุตสาหกรรมที่จะผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัย 4 ขึ้นโรงไฟฟ้าชีวมวล หรือไบโอแมส ที่ จ.ลำพูน ลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ พร้อม ผุดนิคมฯนิเวศวิทยาหรืออีโกทาวน์ ในเนื้อที่ 2 พันไร่ที่ราชบุรี รับการกำจัดกากอุตสาหกรรมเพื่อนำวัสดุเหลือใช้กลับมารียูสใหม่ รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายลง ทุนสู่สุวรรณเขต สปป.ลาว
นายทนง ศรีจิตร์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงทิศทางลงทุนของเครือสหพัฒน์ ในปี 2552 ว่าจะเป็นไปในหลายรูปแบบ ภายใต้งบประมาณรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นการขยายพื้นที่สวนอุตสาหกรรมแห่งใหม่ ในเนื้อที่รวมกว่า 300 ไร่ ที่อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อรองรับโรงงานอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 ทั้งโรงงานผลิตเสื้อผ้าและสินค้าอุปโภค บริโภค โดยโครงการนี้เป็นการร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเปิดดำเนินการแล้ว 2 แห่ง คือ โรงงานผลิตเสื้อผ้าและเครื่องหนัง ทั้งนี้อยู่ระหว่างเจรจาด้านข้อกฎหมายแรงงาน เนื่องจากอาจต้องใช้แรงงานจากประเทศพม่า ซึ่งอาจจะมีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล หรือไบโอแมส ที่ จังหวัดลำพูน โดยจะใช้ไม้โตเร็วเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานไอน้ำ เพื่อปั่นกระแสไฟฟ้าป้อนให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมในเครือทั้งหมด และขณะนี้ได้ทำประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
“โครงการนี้จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 9 เมกะวัตต์ต่อวัน จากปริมาณไม้ 5-6 ตัน และจะนำพลังงานไอน้ำป้อนเข้าสู่โรงงานผลิตมาม่า ที่จังหวัดลำพูน ทดแทนพลังงานภายในประเทศ และลดการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ โครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและคาดว่าในปี 2552 จะเริ่มก่อสร้างได้ นอกจากนั้นยังมีเตาเผาไฮเทคโนโลยี ที่สามารถกำจัดฝุ่นและควันไม่ให้ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังจะสนับสนุนให้ชาวบ้านปลูกไม้โตเร็ว เช่น กระถินยักษ์ ไม้ยูคาฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมวิชาการเกษตร และบริษัทฯ จะรับซื้อไม้เหล่านี้เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยโครงการในลักษณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการไปแล้วในจังหวัดพิจิตร โดยใช้แกลบเป็นวัตถุดิบเพื่อประหยัดพลังงานน้ำมันและแก๊ส ”
นายทนง กล่าวต่อไปว่าบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะผุดโครงการนิคมฯนิเวศวิทยา หรืออีโกทาวน์ ในพื้นที่กว่า 200 ไร่ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งจะกำหนดให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเมืองแห่งการทดลองและวิจัย สำหรับนำวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้แล้วกลับมาพัฒนาเพื่อใช้ใหม่ ซึ่งจะรองรับจำนวนวัสดุอุปกรณ์หรือของเสียจากประเทศต่างๆ ที่ต้องการกำจัด เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเมื่อเสียแล้วต้องแยกชิ้นส่วน ขณะที่พลาสติก ต้องนำมาบดแล้วนำกลับไปใช้ใหม่ ส่วนวัสดุที่เป็นกระจกก็ต้องทุบและหลอมเพื่อนำกลับมาผลิตใหม่เช่นกัน
สำหรับความเป็นไปได้ของโครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและหากพบว่ามีความเป็นไปได้ ก็จะร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) โดยขณะนี้มีหลายประเทศให้ความสนใจที่จะร่วมรวมถึงประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีหากผลการศึกษาแล้วเสร็จ ก็คาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาทดำเนินการ และคงก่อสร้างได้ในปี 2552 เนื่องจากต้องมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA )ซึ่งหากโครงการนี้เกิดขึ้นจริงก็จะเป็นโครงการแรกของประเทศ ที่จะช่วยลดปัญหาการลักลอบนำของเสียหรือกากอุตสาหกรรมไปทิ้งในที่ต่างๆ หรือการกำจัดโดยไม่ถูกต้อง
เล็งขยายลงทุนสู่ลาว หลังพบจุดดึงดูดหลายประการ
นายทนง ยังกล่าวถึงการขยายการลงทุนของเครือสหพัฒน์ ในประเทศไทยว่า ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงหลังพบว่าพื้นที่อุตสาหกรรมของไทยเหลือน้อยลง จึงต้องมองหาพื้นที่ลงทุนด้านอุตสาหกรรมในเขตประเทศเพื่อนบ้าน โดยเลือกที่จะเข้าลงทุนในพื้นที่สุวรณเขตของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว ) เพราะนอกจากจะมีทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นจำนวนมากแล้ว การเดินทางที่สะดวกสบาย รวมถึงการใช้ภาษาในการสื่อสารที่ใกล้เคียงกันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันรัฐบาลลาวก็ยังพร้อมให้การส่งเสริมในรูปแบบบีโอไอ เห็นได้จากปัจจุบันที่มีหลายประเทศเข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย หรือญี่ปุ่น โดยขณะนี้เครือสหพัฒน์ อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน
ปัจจุบันสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ มีพื้นที่อุตสาหกรรมใน 4 จังหวัดของประเทศ ประกอบด้วย อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดลำพูน และจังหวัดราชบุรี โดยในปี 2552 จะเพิ่มพื้นที่สวนอุตสาหกรรมในเขตอ.แม่สอด จ.ตากอีกหนึ่งแห่ง
อย่างไรก็ตาม นอกจากการลงทุนด้านอุตสาหกรรมแล้ว เครือสหพัฒน์ ยังสนับสนุนด้านการศึกษา ด้วยการมอบที่ดินส่วนหนึ่งในเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี สร้างโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่ได้มาตรฐาน โดยขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 80 % ส่วนพื้นที่บริเวณรอบๆโรงเรียน บริษัทฯ วางโครงการที่จะสร้างลานจอดรถและจุดพักรถ รวมถึงการเปิดบริการส่วนพลาซ่า เพื่อจำหน่ายสินค้าในพื้นที่หรือ สินค้าโอทอป หลังพบ ว่ามีการวางขายบริเวณริมถนนและไหล่ทางทำให้ไม่สะอาดตาและมองดูไม่ถูกสุข ลักษณะ ซึ่งหากแล้วเสร็จก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน