วานนี้ ( 15 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนสืบหาทรัพย์สินบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ในฐานะประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัททีพีไอ โพลีน ฯ บริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร ในฐานะกรรมการบริหาร บมจ.สเติร์น ฯ เป็นจำเลย ที่ 1– 4 ที่กระทำ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2535 ในการเผยแพร่ข้อมูลนอกเหนือจากที่ได้แจ้งไว้ต่อ ตลาดหลักทรัพย์ หรือการปั่นหุ้น ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 50 ให้จำคุกนายประชัย และนายเชียรช่วง คนละ 3 ปี ปรับบริษัท ทีพีไอ.ฯ และบริษัท สเติร์นฯ รายละ 6.9 พันล้านบาทเศษ แต่บริษัททั้งสองยังไม่ชำระค่าปรับ โดยอ้างว่าไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ
โดยเมื่อวานนี้ศาลได้ไต่สวนพยานรวม 3 ปาก ประกอบด้วย นางปราลี สุคนธมานย์ ผอ.ฝ่ายกำกับบัญชีตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นเบิกความระบุข้อมูลงบการเงินและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี ที่บริษัทใช้ยื่นต่อ ก.ล.ต.เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งบริษัทมีสินทรัพย์รวม 73,000 ล้านบาท จนถึงวันที่ 31 มิ.ย.51
ด้านทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการบริหารบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ เบิกความยืนยันว่า บริษัทยังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ โดยได้ขอขยายระยะเวลาการฟื้นฟูต่อศาลล้มละลายกลางไปอีก 1 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 31 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ การดำเนินการใดๆ ต้องอยู่ในแผนฟื้นฟู และไม่สามารถนำสินทรัพย์ของบริษัทไปค้ำประกันบุคคลอื่นได้
ขณะที่นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ ภริยานายประชัย ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัททีพีไอโพลีนฯ และกรรมการแผนฟื้นฟูกิจการ เบิกความว่า ตนมีหน้าที่ดูแลงานบุคคล ธุรการ เท่านั้น ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสินทรัพย์ของบริษัท แต่จะมีรายละเอียดทั้งหมดอยู่ในสาระบบ ทรัพย์สินเพื่อส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในการฟื้นฟูกิจการ
นอกจากนี้ นางอรพิน ยังได้แถลงต่อศาลทั้งน้ำตา ขอให้ศาลรอให้คดีถึงที่สุดก่อนจึงนำเข้าสู่การบังคับคดี เพราะหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บริษัทชำระเงินค่าปรับกว่า 6,900 ล้านบาท บริษัทฯ ต้องประสบปัญหาด้านการเงิน ไม่สามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ อีกทั้งต้องแบกรับภาระพนักงานกว่า 5,000 คน หากบังคับคดีตอนนี้ บริษัทฯจะได้รับความเสียหายอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ศาลชี้แจงว่า ศาลเชื่อว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา หากจำเลยไม่ได้กระทำผิด ศาลอุทธรณ์ก็จะพิพากษาเปลี่ยนแปลงให้เอง แต่หากจำเลยกระทำผิดจริง ศาลจะพิจารณาความเสียหายตามจริง โดยศาลไม่ได้เลือกปฏิบัติ ความจริงหากเป็นบุคคลทั่วไป อาจถูกขังระหว่างอุทธรณ์ไปแล้ว นอกจากนี้ หากผู้บริหารแผนฟื้นฟูบริหารกิจการได้ไม่ดี ศาลอาจส่งหนังสือถึงศาลล้มละลายกลาง พิจารณาเปลี่ยนตัวผู้บริหารฟื้นฟูกิจการได้
ทั้งนี้ ศาลได้นัดไต่สวนพยานอีกครั้งในวันที่ 13 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น. พร้อมออกหมายเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และกรรมการผู้มีอำนาจบริษัททีพีไอโพลีน ฯ มาเบิกความในวันดังกล่าว และกำชับอัยการโจทก์ ให้ดำเนินการบังคับคดีบริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 ให้ร่วมชำระค่าปรับด้วย ซึ่งหากอัยการไม่เร่งดำเนินการ ศาลจะส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.
โดยเมื่อวานนี้ศาลได้ไต่สวนพยานรวม 3 ปาก ประกอบด้วย นางปราลี สุคนธมานย์ ผอ.ฝ่ายกำกับบัญชีตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นเบิกความระบุข้อมูลงบการเงินและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี ที่บริษัทใช้ยื่นต่อ ก.ล.ต.เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งบริษัทมีสินทรัพย์รวม 73,000 ล้านบาท จนถึงวันที่ 31 มิ.ย.51
ด้านทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการบริหารบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ เบิกความยืนยันว่า บริษัทยังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ โดยได้ขอขยายระยะเวลาการฟื้นฟูต่อศาลล้มละลายกลางไปอีก 1 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 31 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ การดำเนินการใดๆ ต้องอยู่ในแผนฟื้นฟู และไม่สามารถนำสินทรัพย์ของบริษัทไปค้ำประกันบุคคลอื่นได้
ขณะที่นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ ภริยานายประชัย ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัททีพีไอโพลีนฯ และกรรมการแผนฟื้นฟูกิจการ เบิกความว่า ตนมีหน้าที่ดูแลงานบุคคล ธุรการ เท่านั้น ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสินทรัพย์ของบริษัท แต่จะมีรายละเอียดทั้งหมดอยู่ในสาระบบ ทรัพย์สินเพื่อส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในการฟื้นฟูกิจการ
นอกจากนี้ นางอรพิน ยังได้แถลงต่อศาลทั้งน้ำตา ขอให้ศาลรอให้คดีถึงที่สุดก่อนจึงนำเข้าสู่การบังคับคดี เพราะหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บริษัทชำระเงินค่าปรับกว่า 6,900 ล้านบาท บริษัทฯ ต้องประสบปัญหาด้านการเงิน ไม่สามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ อีกทั้งต้องแบกรับภาระพนักงานกว่า 5,000 คน หากบังคับคดีตอนนี้ บริษัทฯจะได้รับความเสียหายอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ศาลชี้แจงว่า ศาลเชื่อว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา หากจำเลยไม่ได้กระทำผิด ศาลอุทธรณ์ก็จะพิพากษาเปลี่ยนแปลงให้เอง แต่หากจำเลยกระทำผิดจริง ศาลจะพิจารณาความเสียหายตามจริง โดยศาลไม่ได้เลือกปฏิบัติ ความจริงหากเป็นบุคคลทั่วไป อาจถูกขังระหว่างอุทธรณ์ไปแล้ว นอกจากนี้ หากผู้บริหารแผนฟื้นฟูบริหารกิจการได้ไม่ดี ศาลอาจส่งหนังสือถึงศาลล้มละลายกลาง พิจารณาเปลี่ยนตัวผู้บริหารฟื้นฟูกิจการได้
ทั้งนี้ ศาลได้นัดไต่สวนพยานอีกครั้งในวันที่ 13 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น. พร้อมออกหมายเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และกรรมการผู้มีอำนาจบริษัททีพีไอโพลีน ฯ มาเบิกความในวันดังกล่าว และกำชับอัยการโจทก์ ให้ดำเนินการบังคับคดีบริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 ให้ร่วมชำระค่าปรับด้วย ซึ่งหากอัยการไม่เร่งดำเนินการ ศาลจะส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.