รอยเตอร์ - อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงก์ (เอไอจี) เครือกิจการประกันภัยยักษ์ใหญ่และเก่าแก่ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันซ์ (เอไอเอ) ในประเทศไทย กำลังสูญตำแหน่งบริษัทประกันภัยอันดับหนึ่งของโลกที่รักษามาได้อย่างยาวนานไปเสียแล้ว สืบเนื่องจากนักลงทุนพากันทิ้งหุ้นตัวนี้ เพราะหวาดผวาเรื่องที่เอไอจีลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เป็นมูลค่ามหาศาล ซึ่งอาจประสบการขาดทุนหนักอีกรอบหนึ่ง
หุ้นของเอไอจีดิ่งลงมากกว่า 70% ในหนึ่งปีที่ผ่านมา และในสัปดาห์นี้ราคาหุ้นก็ร่วงลงไปอีก จนทำให้มูลค่าตามตลาดหลักทรัพย์ได้ลดลงเหลือประมาณ 47,000 ล้านดอลลาร์ จากราว 175,000 ล้านดอลลาร์ของเมื่อหนึ่งปีก่อน ทำให้เวลานี้มีมูลค่าน้อยกว่าคู่แข่งอย่างเช่น แอ๊กซ่า เอสเอซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 65,000 ล้านดอลลาร์
เอไอจีนั้นมีลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยราว 74 ล้านราย ในมากกว่า 130 ประเทศและเขตแคว้นทั่วโลก ทว่าในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา เอไอจีต้องตัดยอดขาดทุนไปแล้วมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ จาก "เครดิต ดีฟอลต์ สวอป" (ซีเอสดี) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ออกเพื่อค้ำประกันบรรดาตราสารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์จากความเสี่ยงของการงดจ่ายหนี้ แล้วเมื่อตราสารเหล่านี้มีปัญหาหนักท่ามกลางวิกฤตสินเชื่อทั่วโลก ผู้ค้ำประกันอย่างเอไอจีก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย
สถานการณ์ของภาคการเงินสหรัฐฯยังเพิ่มความผันผวนมากขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ หลังจากเลห์แมน บราเธอร์สประกาศผลขาดทุนเพิ่มเติม ส่งผลให้หุ้นร่วงลงไปอย่างรุนแรง และก่อความวิตกจากทั้งทางการและนักลงทุนว่าจะดึงเอาเศรษฐกิจของประเทศให้ทรุดมากขึ้นอีก
ความยากลำบากของเลห์แมนในการจะแกะตนเอง ออกจากปมปัญหาการขาดทุนจากตราสารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ทำให้หลายฝ่ายหันไปมองว่า เอไอจีจะสามารถสางความยุ่งเหยิงที่เกิดจากกรณีซีดีเอสของบริษัทได้หรือไม่
ตอนนี้เลห์แมนกำลังพยายามดิ้นรนหาผู้ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัท หลังจากนักลงทุนมีปฏิกิริยาในทางลบต่อแผนการกอบกู้บริษัทที่ผู้บริหารของเลห์แมนประกาศออกมา ซึ่งโดยหลักการคือความพยายามที่จะแยกสินทรัพย์ดีออกมาจากสินทรัพย์ที่เน่าแล้ว
"วิธีการนี้ดูไม่มีประสิทธิภาพสำหรับเลห์แมน" ริคาร์โด ไคลน์โบม นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี ปาริบาส์ในนิวยอร์ก ให้ความเห็น "ดังนั้นตลาดก็น่าจะมองเหมือนกันคือถ้าเลห์แมนทำไม่ได้ เอไอจีก็ไม่น่าจะทำได้ด้วย"
ตอนนี้ต้นทุนเพื่อซื้อประกันภัยตราสารหนี้ของ อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป พุ่งขึ้น 30% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จากความกังวลที่ว่าเอไอจีคงจะเพิ่มทุน ซึ่งจะต้องประสบความลำบากมากในการเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามา
นั่นคือ หากพวกที่ถือตราสารหนี้ของเอไอจีอยู่ ต้องการซื้อ เครดิต ดีฟอลต์ สวอป เพื่อค้ำประกัน จะต้องยอมจ่ายผลตอบแทนเพิ่มอีก 1.50% ในวันพฤหัสบดี เป็น 6.80% หรือเท่ากับว่า ถ้าต้องการประกันภัยหนี้สินเอไอจีที่ถือเอาไว้เป็นมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนปีละ 680,000 ดอลลาร์ตลอด 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ตามการคำนวณของ มาร์กิต อินทราเดย์
นักลงทุนต่างกำลังวิตกว่า เอไอจีอาจจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อลง ซึ่งทำให้บริษัทจะต้องเพิ่มหลักประกันใหม่ขึ้นอีก 14,500 ล้านดอลลาร์ จึงจะสามารถครอบคลุมตราสารอนุพันธ์สินเชื่อที่บริษัทถือครองเอาไว้ โดยตัวเลขนี้คิดมาจากข้อมูลที่เอไอจีรายงานต่อหน่วยงานกำกับตรวจสอบเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม
"ในความเห็นของนักวิเคราะห์แล้ว เอไอจีมีทางเลือกน้อยมาก" อลัน เดฟลิน นักวิเคราะห์ของแอตแลนติก อีควิตีส์กล่าว เพราะตอนนี้ราคาหุ้นทรุดลงทุกขณะ รวมทั้งส่วนต่างดอกเบี้ยที่ไอเอจีต้องจ่ายก็ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าตัวนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา อันสะท้อนว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนกำลังหดหายลงไปทุกที
นักวิเคราะห์จำนวนมากทั้งเดฟลิน และโจชัว แชงเกอร์ จากซิตี้กรุ๊ปคาดว่าเอไอจีจะต้องหันไปมองทางเลือกอย่างเช่นตัดขายบางส่วนของบริษัทออกไปเพื่อระดมเม็ดเงินใหม่เข้ามาอีก อาทิ ไอแอลเอฟซี บริษัทเช่าซื้อเครื่องบินที่ทำกำไรได้งดงาม ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่ากันว่าจะขายได้ราคาถึง 8,400 ล้านดอลลาร์
กระนั้นก็ตาม เม็ดเงินใหม่ที่เอไอจีต้องการนั้นน่าจะอยู่ที่ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นแม้จะขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ออกไปแล้ว เอไอจีอาจจะต้องระดมทุนด้วยกันออกหุ้นใหม่อีก 10,000 ล้านดอลลาร์
หุ้นของเอไอจีดิ่งลงมากกว่า 70% ในหนึ่งปีที่ผ่านมา และในสัปดาห์นี้ราคาหุ้นก็ร่วงลงไปอีก จนทำให้มูลค่าตามตลาดหลักทรัพย์ได้ลดลงเหลือประมาณ 47,000 ล้านดอลลาร์ จากราว 175,000 ล้านดอลลาร์ของเมื่อหนึ่งปีก่อน ทำให้เวลานี้มีมูลค่าน้อยกว่าคู่แข่งอย่างเช่น แอ๊กซ่า เอสเอซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 65,000 ล้านดอลลาร์
เอไอจีนั้นมีลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยราว 74 ล้านราย ในมากกว่า 130 ประเทศและเขตแคว้นทั่วโลก ทว่าในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา เอไอจีต้องตัดยอดขาดทุนไปแล้วมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ จาก "เครดิต ดีฟอลต์ สวอป" (ซีเอสดี) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ออกเพื่อค้ำประกันบรรดาตราสารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์จากความเสี่ยงของการงดจ่ายหนี้ แล้วเมื่อตราสารเหล่านี้มีปัญหาหนักท่ามกลางวิกฤตสินเชื่อทั่วโลก ผู้ค้ำประกันอย่างเอไอจีก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย
สถานการณ์ของภาคการเงินสหรัฐฯยังเพิ่มความผันผวนมากขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ หลังจากเลห์แมน บราเธอร์สประกาศผลขาดทุนเพิ่มเติม ส่งผลให้หุ้นร่วงลงไปอย่างรุนแรง และก่อความวิตกจากทั้งทางการและนักลงทุนว่าจะดึงเอาเศรษฐกิจของประเทศให้ทรุดมากขึ้นอีก
ความยากลำบากของเลห์แมนในการจะแกะตนเอง ออกจากปมปัญหาการขาดทุนจากตราสารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ทำให้หลายฝ่ายหันไปมองว่า เอไอจีจะสามารถสางความยุ่งเหยิงที่เกิดจากกรณีซีดีเอสของบริษัทได้หรือไม่
ตอนนี้เลห์แมนกำลังพยายามดิ้นรนหาผู้ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัท หลังจากนักลงทุนมีปฏิกิริยาในทางลบต่อแผนการกอบกู้บริษัทที่ผู้บริหารของเลห์แมนประกาศออกมา ซึ่งโดยหลักการคือความพยายามที่จะแยกสินทรัพย์ดีออกมาจากสินทรัพย์ที่เน่าแล้ว
"วิธีการนี้ดูไม่มีประสิทธิภาพสำหรับเลห์แมน" ริคาร์โด ไคลน์โบม นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี ปาริบาส์ในนิวยอร์ก ให้ความเห็น "ดังนั้นตลาดก็น่าจะมองเหมือนกันคือถ้าเลห์แมนทำไม่ได้ เอไอจีก็ไม่น่าจะทำได้ด้วย"
ตอนนี้ต้นทุนเพื่อซื้อประกันภัยตราสารหนี้ของ อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป พุ่งขึ้น 30% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จากความกังวลที่ว่าเอไอจีคงจะเพิ่มทุน ซึ่งจะต้องประสบความลำบากมากในการเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามา
นั่นคือ หากพวกที่ถือตราสารหนี้ของเอไอจีอยู่ ต้องการซื้อ เครดิต ดีฟอลต์ สวอป เพื่อค้ำประกัน จะต้องยอมจ่ายผลตอบแทนเพิ่มอีก 1.50% ในวันพฤหัสบดี เป็น 6.80% หรือเท่ากับว่า ถ้าต้องการประกันภัยหนี้สินเอไอจีที่ถือเอาไว้เป็นมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนปีละ 680,000 ดอลลาร์ตลอด 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ตามการคำนวณของ มาร์กิต อินทราเดย์
นักลงทุนต่างกำลังวิตกว่า เอไอจีอาจจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อลง ซึ่งทำให้บริษัทจะต้องเพิ่มหลักประกันใหม่ขึ้นอีก 14,500 ล้านดอลลาร์ จึงจะสามารถครอบคลุมตราสารอนุพันธ์สินเชื่อที่บริษัทถือครองเอาไว้ โดยตัวเลขนี้คิดมาจากข้อมูลที่เอไอจีรายงานต่อหน่วยงานกำกับตรวจสอบเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม
"ในความเห็นของนักวิเคราะห์แล้ว เอไอจีมีทางเลือกน้อยมาก" อลัน เดฟลิน นักวิเคราะห์ของแอตแลนติก อีควิตีส์กล่าว เพราะตอนนี้ราคาหุ้นทรุดลงทุกขณะ รวมทั้งส่วนต่างดอกเบี้ยที่ไอเอจีต้องจ่ายก็ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าตัวนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา อันสะท้อนว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนกำลังหดหายลงไปทุกที
นักวิเคราะห์จำนวนมากทั้งเดฟลิน และโจชัว แชงเกอร์ จากซิตี้กรุ๊ปคาดว่าเอไอจีจะต้องหันไปมองทางเลือกอย่างเช่นตัดขายบางส่วนของบริษัทออกไปเพื่อระดมเม็ดเงินใหม่เข้ามาอีก อาทิ ไอแอลเอฟซี บริษัทเช่าซื้อเครื่องบินที่ทำกำไรได้งดงาม ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่ากันว่าจะขายได้ราคาถึง 8,400 ล้านดอลลาร์
กระนั้นก็ตาม เม็ดเงินใหม่ที่เอไอจีต้องการนั้นน่าจะอยู่ที่ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นแม้จะขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ออกไปแล้ว เอไอจีอาจจะต้องระดมทุนด้วยกันออกหุ้นใหม่อีก 10,000 ล้านดอลลาร์