นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ซึ่งมีการพิจารณาสำนวนคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ขอให้พิจารณาวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 ของนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร อันเนื่องมาจากคู่สมรสถือหุ้นในบริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐว่า กกต. มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เห็นควรให้ยกคำร้องตามที่คณะอนุกรรมการไต่สวน เสนอมา เนื่องจากบริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ (1991) จำกัด ที่ภรรยาของนายชัย ถือหุ้นอยู่นั้นมีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2539 ขณะเดียวกันประทานบัตรที่บริษัทฯได้รับ ก็ได้รับตาม พ.ร.บ.แร่ 2510 เป็นเสมือนใบอนุญาตให้เอกชนเข้าดำเนินกิจกรรม โดยผู้ขอต้องเสียค่าธรรมเนียม ต่างกับการขอสัมปทานจากรัฐ เช่น การขุดเจาะปิโตรเลียม หรือการขอสัมปทานเก็บรังนก ที่จะถือว่าเข้าข่ายเป็นสัมปทาน
การดำเนินการของบริษัทศิลาชัย เป็นการขอประทานบัตร เพื่อระเบิดหิน ในพื้นที่ดินของเอกชน ซึ่งกรณีนี้เป็นที่ดินของตัวเองกว่า 100 ไร่ และมีการดำเนินการมาก่อนที่นายชัย จะเข้ามาเป็นประธานสภาฯ ขณะเดียวกันในที่ดินบริเวณดังกล่าวก็ยังมีเอกชนรายอื่นขอประทานบัตรระเบิดหินในลักษณะเดียวกันอีกนับ 10 บริษัท จึงไม่เข้าข่ายการผูกขาด ดังนั้นกรณีนี้จึงไม่เข้าข่ายที่ว่า บุคคลในครอบครัว คือสามี ภรรยา บุตร ถือหุ้นหรือบริษัทสัมปทานจากรัฐ ที่ประชุมเสียงข้างมา 3 ต่อ 2 จึงมีมติยกคำร้อง โดยเสียงข้างน้อยมีความเห็น ให้สอบสวนเพิ่มเติม
นายประพันธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กรณีของนายชัย คงจะไปใช้เทียบเคียง การสอบสวนการถือหุ้นของ ส.ส.และส.ว. ที่มีการร้องเข้ามายัง กกต.ไม่ได้ เนื่องจาก เป็นการถือหุ้นคนละลักษณะ และคณะอนุกรรมการที่กกต.ตั้งขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ก็กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่เนื่องจากมีข้อมูลจำนวนมากที่จะต้องสอบเป็นรายบุคคล คงต้องรออีกระยะหนึ่ง
ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวว่า 3 เสียงข้างมาก มีตนเอง นายประพันธ์ และนาง สดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการ พรรคการเมือง โดยในส่วนของตนเห็นตามที่อนุฯ เสนอยกคำร้อง ด้วยเหตุผลว่า กรณีสัมปทานนั้นเป็นการไปขออนุญาตประกอบกิจกรรมในที่ดินที่เป็นของหลวง ขณะที่ประทานบัตรเป็นการขออนุญาตในที่ดินที่เป็นของตนเอง ซึ่งในชั้นการสอบสวน ของคณะอนุฯ เสียงข้างมากก็เสนอให้ยกคำร้องเช่นกัน
ส่วนนางสดศรี กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ติดใจ เพราะถือว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์รับสัมปทานจากรัฐ แต่เป็นลักษณะของการขอประทานบัตร เป็นการขออนุญาตรัฐที่กฎหมายกำหนดให้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของตนเองที่มีแร่ และตนก็เห็นตามที่ คณะอนุฯ 4 ต่อ 1 เสนอให้ยกคำร้อง
ส่วนเสียงข้างน้อยของคณะอนุฯ ขอให้สอบหาพยานหลักฐานเพิ่ม และกกต. เสียงข้างน้อยก็มีความเห็นให้สอบเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน เพราะเห็นว่าเป็นบุคคล เครือญาตินายชัย ซึ่งคิดว่าความเห็นคงไม่ต่างจากพยานของฝ่ายผู้ถูกร้องมากสักเท่าไร
การดำเนินการของบริษัทศิลาชัย เป็นการขอประทานบัตร เพื่อระเบิดหิน ในพื้นที่ดินของเอกชน ซึ่งกรณีนี้เป็นที่ดินของตัวเองกว่า 100 ไร่ และมีการดำเนินการมาก่อนที่นายชัย จะเข้ามาเป็นประธานสภาฯ ขณะเดียวกันในที่ดินบริเวณดังกล่าวก็ยังมีเอกชนรายอื่นขอประทานบัตรระเบิดหินในลักษณะเดียวกันอีกนับ 10 บริษัท จึงไม่เข้าข่ายการผูกขาด ดังนั้นกรณีนี้จึงไม่เข้าข่ายที่ว่า บุคคลในครอบครัว คือสามี ภรรยา บุตร ถือหุ้นหรือบริษัทสัมปทานจากรัฐ ที่ประชุมเสียงข้างมา 3 ต่อ 2 จึงมีมติยกคำร้อง โดยเสียงข้างน้อยมีความเห็น ให้สอบสวนเพิ่มเติม
นายประพันธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กรณีของนายชัย คงจะไปใช้เทียบเคียง การสอบสวนการถือหุ้นของ ส.ส.และส.ว. ที่มีการร้องเข้ามายัง กกต.ไม่ได้ เนื่องจาก เป็นการถือหุ้นคนละลักษณะ และคณะอนุกรรมการที่กกต.ตั้งขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ก็กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่เนื่องจากมีข้อมูลจำนวนมากที่จะต้องสอบเป็นรายบุคคล คงต้องรออีกระยะหนึ่ง
ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวว่า 3 เสียงข้างมาก มีตนเอง นายประพันธ์ และนาง สดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการ พรรคการเมือง โดยในส่วนของตนเห็นตามที่อนุฯ เสนอยกคำร้อง ด้วยเหตุผลว่า กรณีสัมปทานนั้นเป็นการไปขออนุญาตประกอบกิจกรรมในที่ดินที่เป็นของหลวง ขณะที่ประทานบัตรเป็นการขออนุญาตในที่ดินที่เป็นของตนเอง ซึ่งในชั้นการสอบสวน ของคณะอนุฯ เสียงข้างมากก็เสนอให้ยกคำร้องเช่นกัน
ส่วนนางสดศรี กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ติดใจ เพราะถือว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์รับสัมปทานจากรัฐ แต่เป็นลักษณะของการขอประทานบัตร เป็นการขออนุญาตรัฐที่กฎหมายกำหนดให้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของตนเองที่มีแร่ และตนก็เห็นตามที่ คณะอนุฯ 4 ต่อ 1 เสนอให้ยกคำร้อง
ส่วนเสียงข้างน้อยของคณะอนุฯ ขอให้สอบหาพยานหลักฐานเพิ่ม และกกต. เสียงข้างน้อยก็มีความเห็นให้สอบเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน เพราะเห็นว่าเป็นบุคคล เครือญาตินายชัย ซึ่งคิดว่าความเห็นคงไม่ต่างจากพยานของฝ่ายผู้ถูกร้องมากสักเท่าไร