อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับผมว่า การที่ นปก.มาบุกและรุมตีพันธมิตรฯ นั้นเหมือนกับกรณี 6 ตุลา 2519 เพียงแต่ว่าครั้งนี้ นปก.ทำ แต่ก่อนกระทิงแดงทำ
ผมเคยตั้งข้อสังเกตตั้งแต่นายสมัครขึ้นมาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ แล้วว่า การเมืองไทยคงจะเกิดเหตุนองเลือดขึ้นสักวัน เพราะลีลาของนายสมัครนั้นยั่วยุ และดื้อด้านมาก ซึ่งก็เป็นความจริง
สังคมไทยเวลานี้สับสนเพราะรัฐบาลและ ส.ส.พรรครัฐบาลเองก็ยังไม่รู้ตัวว่า พวกตนเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้ง แต่ได้นำเหตุการณ์บางเหตุการณ์มาอ้าง เช่น กรณีการบุกสถานี NBT เป็นต้น
แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้มิได้ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ คือ ควรจะต้องลาออกเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีคณะรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเรื่องเขาพระวิหาร เมื่อรัฐบาลไม่ลาออกก็เท่ากับรัฐบาลเป็นฝ่ายทำให้เกิดทางตันขึ้นมา
การเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรฯ เกิดจากความรู้สึกร่วมกันว่า รัฐบาลที่มาจากพรรคไทยรักไทยเดิมนั้น ไม่มีความชอบธรรม และนับวันก็มีเรื่องการเสื่อมศรัทธาลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งมีความคลุมเครือว่ามีการเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนบุคคล อดีตรัฐมนตรีที่ลาออกมาเล่าว่า หัวหน้ารัฐบาลได้กล่าวในที่ประชุมอย่างชัดเจนว่า จะต้องช่วยฮุนเซนเขาหน่อย เพราะเขาจะเลือกตั้ง
การดำเนินงานของคณะรัฐบาลชุดนี้มีหลายเรื่องที่ประชาชนแคลงใจ เช่น การแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนแต่งตั้งนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใหญ่ๆ มาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
สิ่งที่ประชาชนเป็นเดือดเป็นแค้นก็คือ การยุยงและใช้อันธพาลเข้าทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบ การปฏิเสธหน้าด้านๆ ว่าไม่มีการใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ฝูงชน การให้โทรทัศน์บางช่องออกมาโจมตีการชุมนุม และให้ นปก. 3 คนมาออกรายการโทรทัศน์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เหมือนกับเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
มีข้าราชการบางคนที่ยังคงยึดมั่นในหลักการ ใช้เหตุผลไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง เช่น พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง และนายพงศ์พโยม วาศภูติ เป็นต้น รัฐบาลไม่พอใจและอยากขจัดข้าราชการที่ดีเหล่านี้ออกไป นายพงศ์พโยมได้ยืดหยัดสมกับเป็นข้าราชการมหาดไทยชั้นดีที่เคยได้เป็นที่หนึ่งของโรงเรียนนายอำเภอ และมีประวัติการรับราชการที่ดีตลอดมา มิเสียแรงที่มีเลือดดี
ผมได้สดับตรับฟังผู้คนแสดงความคับข้องใจมากมายหลายคนไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อน บัดนี้ต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทนนายสมัครไม่ได้
บางคนที่สนับสนุนรัฐบาลอ้างว่า นายสมัครมีความใกล้ชิดกับเบื้องบน แต่บางคนก็บอกว่าไม่เป็นความจริง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้นายกรัฐมนตรีทุกคนเข้าเฝ้าฯ ได้ทั้งนั้น
ในระหว่างที่มีความตึงเครียด เราได้เห็นบทบาทของผู้บัญชาการทหารบกซึ่งอาศัยการทำงานของฝ่ายเสนาธิการกำหนดท่าทีของกองทัพ และตนเองได้อย่างเหมาะสม ยิ่งภาวะฉุกเฉินเนิ่นนานขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะมีบทบาทเด่นขึ้น และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้ทหารเข้าบังคับให้นายสมัครต้องจำใจลาออกจากตำแหน่งก็เป็นได้
ระหว่างที่เขียนบทความนี้ มีข่าวว่า ดร.เตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นใบลาออกแล้ว ผู้คนพากันอนุโมทนาสาธุ เพราะไม่สบายใจตั้งแต่ดร.เตช เข้าร่วมรัฐบาลแล้ว เตชเป็นนักเรียนวชิราวุธชั้นเดียวกับผมก่อนไปเรียนอังกฤษ เตชเป็นสุภาพบุรุษ และมีความรู้ความสามารถสูง การลาออกของเตชเท่ากับเป็นการบอกกับสาธารณชนว่า รัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว
จะมีก็แต่พรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้นที่ยังทนอยู่ต่อไป ทำให้คนมองพรรคร่วมรัฐบาลในทางดูถูกดูแคลนมากขึ้นอีก แม้สุวิทย์ คุณกิตติจะพยายามให้พรรคเพื่อแผ่นดินถอนตัวออกมา แต่ก็ไม่เป็นผล
การเมืองไทยเสื่อมลงทุกวัน มีหลายคนมาหาผมแล้วถามว่า เบื่อนักการเมืองเก่าๆ จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี ผมบอกว่า ก็แก้กฎหมายส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเสียซิว่า “จะต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ถูกสั่งยุบพรรค” แค่นี้ก็จะทำให้คนหน้าเดิมๆ หายไปหลายร้อยคน อาจถึงพันคนก็ได้ การห้ามเช่นนี้ไม่ขัดกับหลักสิทธิพลเมือง เพราะเมื่อพรรคเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็ต้องเล่นกันอย่างนี้ มิฉะนั้นพวกนี้ก็หาพรรคใหม่ย้ายไปเรื่อย สู้มีข้อห้ามอย่างนี้จะดีกว่า
จะเห็นได้ว่าการที่สมัครจะลาออกไปก็ยังไม่ได้ทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ต้องหามาตรการหลายๆ อย่างมาปฏิรูปการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหานักการเมืองซึ่งนับวันก็จะมีความเลวทรามต่ำช้ามากขึ้น อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยบอกผมว่า บางคนเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน พ่อค้าเล่าว่า เวลารับเงิน ผัวเมียไปรับเงินสดด้วยตนเองเลย แต่ปากก็ยังสบถสาบานไปเรื่อย หากมีใครบุกไปค้นบ้านก็จะพบเงินสดจำนวนมาก
อีกคนแช่งว่า ใครกินค่าคอมมิชชันรถเมล์ขอให้ตายโหงตายห่า ถึงขนาดนี้แล้วผมก็ไม่แปลกใจที่เวทีพันธมิตรฯ ใช้ถ้อยคำรุนแรงว่ารัฐบาลและคนในรัฐบาล
ผมอยากแนะว่าไล่ออกยังไม่พอ ต้องสืบสวนเรื่องการเรียกผลประโยชน์อีกด้วย มีคนสาม-สี่คนได้เงินไปแยะมาก นี่เป็นคำตอบว่า ทำไมจึงไล่ไม่ไปเสียที ยิ่งงบประมาณจะออกแล้ว พรรครัฐบาลก็ต้องร่วมกันอยู่อย่างนี้แหละครับ
ผมเคยตั้งข้อสังเกตตั้งแต่นายสมัครขึ้นมาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ แล้วว่า การเมืองไทยคงจะเกิดเหตุนองเลือดขึ้นสักวัน เพราะลีลาของนายสมัครนั้นยั่วยุ และดื้อด้านมาก ซึ่งก็เป็นความจริง
สังคมไทยเวลานี้สับสนเพราะรัฐบาลและ ส.ส.พรรครัฐบาลเองก็ยังไม่รู้ตัวว่า พวกตนเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้ง แต่ได้นำเหตุการณ์บางเหตุการณ์มาอ้าง เช่น กรณีการบุกสถานี NBT เป็นต้น
แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้มิได้ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ คือ ควรจะต้องลาออกเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีคณะรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเรื่องเขาพระวิหาร เมื่อรัฐบาลไม่ลาออกก็เท่ากับรัฐบาลเป็นฝ่ายทำให้เกิดทางตันขึ้นมา
การเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรฯ เกิดจากความรู้สึกร่วมกันว่า รัฐบาลที่มาจากพรรคไทยรักไทยเดิมนั้น ไม่มีความชอบธรรม และนับวันก็มีเรื่องการเสื่อมศรัทธาลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งมีความคลุมเครือว่ามีการเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนบุคคล อดีตรัฐมนตรีที่ลาออกมาเล่าว่า หัวหน้ารัฐบาลได้กล่าวในที่ประชุมอย่างชัดเจนว่า จะต้องช่วยฮุนเซนเขาหน่อย เพราะเขาจะเลือกตั้ง
การดำเนินงานของคณะรัฐบาลชุดนี้มีหลายเรื่องที่ประชาชนแคลงใจ เช่น การแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนแต่งตั้งนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใหญ่ๆ มาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
สิ่งที่ประชาชนเป็นเดือดเป็นแค้นก็คือ การยุยงและใช้อันธพาลเข้าทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบ การปฏิเสธหน้าด้านๆ ว่าไม่มีการใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ฝูงชน การให้โทรทัศน์บางช่องออกมาโจมตีการชุมนุม และให้ นปก. 3 คนมาออกรายการโทรทัศน์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เหมือนกับเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
มีข้าราชการบางคนที่ยังคงยึดมั่นในหลักการ ใช้เหตุผลไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง เช่น พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง และนายพงศ์พโยม วาศภูติ เป็นต้น รัฐบาลไม่พอใจและอยากขจัดข้าราชการที่ดีเหล่านี้ออกไป นายพงศ์พโยมได้ยืดหยัดสมกับเป็นข้าราชการมหาดไทยชั้นดีที่เคยได้เป็นที่หนึ่งของโรงเรียนนายอำเภอ และมีประวัติการรับราชการที่ดีตลอดมา มิเสียแรงที่มีเลือดดี
ผมได้สดับตรับฟังผู้คนแสดงความคับข้องใจมากมายหลายคนไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อน บัดนี้ต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทนนายสมัครไม่ได้
บางคนที่สนับสนุนรัฐบาลอ้างว่า นายสมัครมีความใกล้ชิดกับเบื้องบน แต่บางคนก็บอกว่าไม่เป็นความจริง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้นายกรัฐมนตรีทุกคนเข้าเฝ้าฯ ได้ทั้งนั้น
ในระหว่างที่มีความตึงเครียด เราได้เห็นบทบาทของผู้บัญชาการทหารบกซึ่งอาศัยการทำงานของฝ่ายเสนาธิการกำหนดท่าทีของกองทัพ และตนเองได้อย่างเหมาะสม ยิ่งภาวะฉุกเฉินเนิ่นนานขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะมีบทบาทเด่นขึ้น และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้ทหารเข้าบังคับให้นายสมัครต้องจำใจลาออกจากตำแหน่งก็เป็นได้
ระหว่างที่เขียนบทความนี้ มีข่าวว่า ดร.เตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นใบลาออกแล้ว ผู้คนพากันอนุโมทนาสาธุ เพราะไม่สบายใจตั้งแต่ดร.เตช เข้าร่วมรัฐบาลแล้ว เตชเป็นนักเรียนวชิราวุธชั้นเดียวกับผมก่อนไปเรียนอังกฤษ เตชเป็นสุภาพบุรุษ และมีความรู้ความสามารถสูง การลาออกของเตชเท่ากับเป็นการบอกกับสาธารณชนว่า รัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว
จะมีก็แต่พรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้นที่ยังทนอยู่ต่อไป ทำให้คนมองพรรคร่วมรัฐบาลในทางดูถูกดูแคลนมากขึ้นอีก แม้สุวิทย์ คุณกิตติจะพยายามให้พรรคเพื่อแผ่นดินถอนตัวออกมา แต่ก็ไม่เป็นผล
การเมืองไทยเสื่อมลงทุกวัน มีหลายคนมาหาผมแล้วถามว่า เบื่อนักการเมืองเก่าๆ จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี ผมบอกว่า ก็แก้กฎหมายส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเสียซิว่า “จะต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ถูกสั่งยุบพรรค” แค่นี้ก็จะทำให้คนหน้าเดิมๆ หายไปหลายร้อยคน อาจถึงพันคนก็ได้ การห้ามเช่นนี้ไม่ขัดกับหลักสิทธิพลเมือง เพราะเมื่อพรรคเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็ต้องเล่นกันอย่างนี้ มิฉะนั้นพวกนี้ก็หาพรรคใหม่ย้ายไปเรื่อย สู้มีข้อห้ามอย่างนี้จะดีกว่า
จะเห็นได้ว่าการที่สมัครจะลาออกไปก็ยังไม่ได้ทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ต้องหามาตรการหลายๆ อย่างมาปฏิรูปการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหานักการเมืองซึ่งนับวันก็จะมีความเลวทรามต่ำช้ามากขึ้น อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยบอกผมว่า บางคนเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน พ่อค้าเล่าว่า เวลารับเงิน ผัวเมียไปรับเงินสดด้วยตนเองเลย แต่ปากก็ยังสบถสาบานไปเรื่อย หากมีใครบุกไปค้นบ้านก็จะพบเงินสดจำนวนมาก
อีกคนแช่งว่า ใครกินค่าคอมมิชชันรถเมล์ขอให้ตายโหงตายห่า ถึงขนาดนี้แล้วผมก็ไม่แปลกใจที่เวทีพันธมิตรฯ ใช้ถ้อยคำรุนแรงว่ารัฐบาลและคนในรัฐบาล
ผมอยากแนะว่าไล่ออกยังไม่พอ ต้องสืบสวนเรื่องการเรียกผลประโยชน์อีกด้วย มีคนสาม-สี่คนได้เงินไปแยะมาก นี่เป็นคำตอบว่า ทำไมจึงไล่ไม่ไปเสียที ยิ่งงบประมาณจะออกแล้ว พรรครัฐบาลก็ต้องร่วมกันอยู่อย่างนี้แหละครับ