xs
xsm
sm
md
lg

รีสอร์ทฟรีใจกลางกรุงเทพฯ

เผยแพร่:   โดย: พ.ญ.ปาริฉัตร รัตนศิริ


กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทย แม้จะเต็มไปด้วยมลภาวะของฝุ่น ควันและรถยนต์จำนวนมาก แต่คนไทยในต่างจังหวัดต่างก็อยากมีโอกาสได้เข้ามาเที่ยวในเมืองฟ้าอมรแห่งนี้ ติดขัดที่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง ยิ่งค่าโรงแรมที่พักแพงจนเป็นอุปสรรคขัดขวาง โดยไม่คาดฝันเหมือนสวรรค์ประทานโอกาสให้ฉันได้ไปนอนรีสอร์ทฟรีฟรีในใจกลางกรุงเทพฯ จะช้าอยู่ไย ฉันรีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าพร้อมเพื่อนหนึ่งคน การจัดกระเป๋าครั้งนี้ต่างจากการไปเที่ยวที่อื่น เพราะเป็นรีสอร์ทฟรี สิ่งจำเป็นมากก็คือ กระดาษทิชชู่ (ซึ่งเขาไม่มีให้ใช้แน่นอน) ร่ม และเสื้อกันฝน เพราะเป็นหน้าฝน และจำเป็นยิ่งในรีสอร์ทนี้ ถ้าฝนตกลงมา ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เอาไว้เช็ดตัวก่อนนอนและตื่นเช้า เสื้อผ้าและชุดชั้นในต้องเตรียมไปเผื่อเปียกฝนจะได้เปลี่ยนได้ เรียบร้อยแล้วฉันก็รีบขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงเทพฯ กะให้ถึงตอนแดดร่มลมตก

ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แท็กซี่ให้ฉันลงปากซอยหลังวัดเบญจมบพิตร วัดสวยที่สร้างด้วยหินอ่อนจากอิตาลีทั้งหลังตั้งแต่บรรพกาล ฉันเดินลัดเลาะมาโผล่ที่ถนนพิษณุโลก ใช่แล้วที่นี่แหละ หน้าทำเนียบรัฐบาล รีสอร์ทฟรีที่ฉันจะมานอนค้างคืนนี้ แผนกต้อนรับของที่นี่ไม่ได้ใส่ชุดไทยหรือใส่สูท แล้วให้การต้อนรับด้วยการไหว้อย่างอ่อนช้อย แต่กลับมีผ้าคาดหัวสีเหลืองและพูดอย่างสุภาพกับแขกอย่างฉันว่า “ขอตรวจกระเป๋าหน่อยครับ” เขาตรวจอาวุธค่ะ กลัวคนไม่ดีมาก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น

ในที่สุดฉันได้มาถึงแล้ว มาเห็นกับตา คนนับแสน (แหม! มีคนชอบของฟรีเหมือนฉันเยอะจัง) พากันจับจองที่นั่ง (ยังไม่นอนค่ะ เพิ่งหกโมงเย็น) เต็มถนนกันไปหมด แม้แต่จะเดินไปเดินมาก็ลำบาก ฉันน่าจะมาให้เร็วๆ กว่านี้หน่อย จะได้จับจองทำเลดีๆ ก่อนใคร ช่างเถอะ! ถึงอย่างไรก็ดูท่าจะสนุกและมีความสุขอยู่นะ

ที่นี่มีกติกาอยู่ข้อเดียวคือ ห้ามดื่มเครื่องดองของเมา น้ำและอาหารมีให้กินฟรีทุกมื้อ โดยความอนุเคราะห์ของกองทัพธรรมจากสันติอโศก แน่นอน จะต้องเป็นมังสวิรัติ (เงินที่ใช้ในการทำอาหารก็มาจากเงินบริจาค ไม่อยากโม้ว่า ฉันก็ร่วมบริจาคไปด้วยหนึ่งพันบาท) อันนี้เข้าล็อคชาวมุสลิมทั้งสองข้อเลย ทำให้เห็นชาวมุสลิมอยู่ที่นี่จำนวนมาก อาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติก็มีเยอะ เพราะมีผู้คนขนมาบริจาคมากจนคาดไม่ถึง อร่อยๆ ทั้งนั้น ทั้งข้าวผัดกระเพรา ข้าวไข่เจียว ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่และอื่นๆ บางครั้งก็มีคนใจดีมาทำให้กินที่นี่เลย เช่น ทอดมันจากระยอง ผัดไทยจากลพบุรี ก๋วยเตี๋ยวชาวกรุง และกล้วยทอดจากไหนจำไม่ได้ โอ้โฮ! นี่ใกล้เคียงรีสอร์ทสวรรค์นะเนี่ย เพราะไม่ต้องทำอะไร มากินฟรีอยู่ฟรี นอกจากอยากเสียเงินเองอย่างเต็มใจ โดยบริจาคเงินช่วยกิจการรีสอร์ท ฉันเองมีศรัทธาไม่น้อย ก็บริจาคไปตามกำลังที่มี ราวๆ เงินที่ซื้อโน๊ตบุ๊คขนาดคุณภาพกลางๆ ได้หนึ่งเครื่องเท่านั้น ใครอยากมาเพื่อเพียงแวะมาเยี่ยมชม นั่งคุย ดื่ม(น้ำ) กินสังสรรค์กันกลางถนนแล้วกลับบ้าน หรือจะมาพักค้างเลย เขายิ่งยินดีต้อนรับ ที่นอนก็เลือกเอาตามชอบใจในจุดที่ยังไม่มีใครจับจอง

อยู่ที่นี่ไม่มีเหงา เขามีบันเทิงสลับการเรียนรู้ เรื่องราวการเมืองและประชาธิปไตย จากวิทยากรบนเวทีตลอด 24 ชั่วโมง รายการบันเทิงเขาไม่ใช่กระจอกนะคะ อย่างพี่หงาคาราวาน วงโฮป คุณณัฐ-พวงเดือน ยนตรักษ์ คุณอ๊อด คีรีบูน คุณหรั่ง ร็อคเคสต้า คุณสุกัญญา มิเกล ยังมีน้องจอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค และพระเอกขวัญใจชาวไทย ตั้ว ศรัญญู วงศ์กระจ่าง โอ้ย! มีอีกเยอะจาระไนไม่หมด สิ่งประทับใจฉันที่สุดก็คือ ฉันชักไม่แน่ใจว่าได้หลุดเข้ามาในดินแดนศรีอริยะเมตไตรยหรือเปล่า เพราะผู้คนที่นี่ทำไมมีแต่รอยยิ้ม แจ่มใสร่าเริง มีแต่ความสุขฉาบอยู่บนใบหน้า มีอัธยาศัยไมตรีต่อกันอย่างมาก มีน้ำใจเมตตาเอื้อเฟื้ออย่างที่หายากในสังคมปัจจุบัน ฉันเดิน เดินและเดินฝ่าผู้คนที่เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่บนถนนพิษณุโลกหน้าทำเนียบรัฐบาล มากยิ่งกว่าในคอนเสิร์ตของนักร้องดังๆ เพื่อหาที่นั่ง ในที่สุดก็พบที่ว่างหย่อมเล็กๆ พอที่จะนั่งเบียดกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่นัดมาพบกันที่นี่ ไม่รอช้า ฉันค่อยๆ ค้อมตัวย่องเข้าไปด้วยความเกรงใจผู้นั่งรอบข้าง การณ์กลับกลายเป็นว่าทุกคนกุลีกุจอช่วยกันจัดที่ให้ว่างมากขึ้น พร้อมกับเชิญชวนให้นั่งร่วมในกระดาษของพวกเขา ไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่ม คืนนั้นฉันได้เป็นเจ้าของกระดาษปูนอนมากถึง 3 แผ่น กับสัมปทานที่นอนกว้างขวางที่มาพร้อมกระดาษนั้น โดยไม่เสียเงินซื้อหรือเซ้งทำเลแม้แต่บาทเดียว

หลังกินเส้นหมี่ผัดซีอิ๊วและข้าวราดหมูผัดกระเพราจนอิ่ม นั่งดูคอนเสิร์ตและฟังปราศรัยของวิทยากรต่างอาชีพต่างชนชั้นจนดึก นิสัยดั้งเดิม (ห้ามเรียกว่าสันดาน) ที่ชอบแส่ไปทุกเรื่อง (ยืมคำท่านนายก) ของฉันเริ่มกำเริบ ฉันเริ่มชวนผู้คนรอบข้างคุย ข้อมูลที่ได้จากการคุยทำให้ฉันประหลาดใจและประทับใจจนอยากนำข้อมูลเหล่านั้นมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อน ๆ ที่นอนหน้าทำเนียบรัฐบาลในคืนนั้น (แค่กลุ่มรอบตัวฉันเพียงกลุ่มเดียว) มาจากหลากหลายอาชีพ ต่างชนชั้น ต่างศาสนาและมาจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ ลองอ่านดูนะคะ

ติ๊ก หนุ่มหล่อขนาดน้องๆ พระเอก เค้าหน้าแบบฝรั่ง อายุ 36 ปี มากับเพื่อนๆ ภรรยาไม่ได้มาด้วยเพราะลูกชายวัย 8 ขวบป่วย ภรรยาต้องอยู่บ้านดูแลลูก ติ๊กทำงานอยู่นิคมอุตสาหกรรมบางปู เป็นโรงงานเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ได้เงินเดือนประมาณ 2 หมื่นบาท วันนี้เขาทำงานครึ่งวัน เลิกงานก็ชวนเพื่อนๆ มานอนที่นี่ พรุ่งนี้จะกลับ เพราะวันจันทร์ต้องทำงาน

มาศ ข้าราชการในกระทรวงเกษตร มีลูกคนเดียวเรียนชั้น ม.6แล้ว สามีเป็นผู้จัดการร้านอาหารซึ่งเริ่มงานตอนเย็น เลิกงานกลับถึงบ้านเช้ามืด เลยไม่ได้มาด้วย คุณมาศจึงมากับเพื่อนและสามีของเพื่อน

เอก ข้าราชการซี 7 ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นคนสมุทรปราการ เข้ารับราชการครั้งแรกประจำกระทรวง ต่อมาย้ายไปเชียงใหม่ แล้วไปอยู่นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่นานถึง 5 ปี และท้ายสุดปัจจุบันเป็นหัวหน้าหน่วยงานในนราธิวาส ท่านผู้นี้ติดใจรีสอร์ทนี้มาก เพราะมาหลายครั้ง บางครั้งเงินเหลือมากก็นั่งเครื่องบินมา เชื่อไหมอยู่นราธิวาสเนี่ย คุณเอกได้เบี้ยเสี่ยงภัยเดือนละพันบาท ค่าเสี่ยงตายของข้าราชการชีวิตละ 33 บาทต่อวันค่ะ (เงิน 1,000 บาท ผู้มีอำนาจใหญ่โตในเมืองไทยบางคนอาจไม่พอจ่ายค่าเครื่องดื่มเพียงแก้วเดียว)

พี่อิ๊ด แม่บ้านจากกระบี่ อายุ 58 ปี ผิวคล้ำ รูปร่างท้วม ใจดีคุยเก่ง มีลูก 4 คน ทุกคนเรียนในกรุงเทพฯ จึงมาซื้อบ้านอยู่แถวสะพานพระนั่งเกล้า แต่ตอนนี้ลูกโตแยกครอบครัวไปแล้ว พี่อิ๊ดนั่งรถทัวร์มาจากกระบี่ ชวนลูกสาวซึ่งทำงานที่นิคมอมตะ ชลบุรีมานั่งที่นี่หลายคืนแล้ว ทางบ้านพี่อิ๊ดทำกิจการสวนปาล์มประมาณ 100 ไร่ ปีที่แล้วมีรายได้ล้านกว่าบาท โดยยังไม่ได้หักค่าปุ๋ยและค่าแรงคนเก็บลูกปาล์มตันละ 300 บาท พี่เขามาพร้อมเพื่อน คือพี่เหม อายุ 61 ปีแล้ว บ้านพี่เหมนอกจากทำสวนปาล์มแล้วยังเลี้ยงปลากระพงขนาด 8 ซ.ม. ตัวละ 20 บาท ปลาเก๋าขนาดตัวละ 4-5 ขีด ตกประมาณตัวละ 50 บาท เอามาเลี้ยงต่อประมาณ 1 ปีจับขายได้ ปลากระพงขายกิโลกรัมละ 120 บาท ถ้าปลาเก๋าจะได้ 300 กว่าบาท รายได้จากกิจการของพี่เขาก็ไม่มากมายอะไร เพียงแค่นั่งเครื่องบินไป-กลับกระบี่มานอนที่นี่สองสามครั้ง ขนหน้าแข้งยังอยู่ครบทุกเส้น

พี่แดง หนุ่มที่ราบสูงจากโคราช ตัวดำ ผอมสูง อายุ 48 ปี ทางบ้านขายผลไม้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม ลูก 2 คนทำงานแล้ว พี่แดงก็เหมือนคนเรือนแสนที่อยากมาหน้าทำเนียบ แต่ทางบ้านไม่ยอมให้มา เพราะอยากให้ช่วยทำมาหากิน ยิ่งน้ำตาลก็แพง ข้าวก็แพง หมูก็แพง หาได้เท่าไรก็ไม่พอใช้ แต่พี่แกก็แอบหนีมาจนได้ และทำท่าจะปักหลักปักฐานอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ เพราะมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. วันแรกที่เขาเปิดรีสอร์ทที่สะพานมัฆวาน แต่ด้วยเหตุที่อยากให้ผู้มาพักได้รับไออุ่นจากผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ผู้จัดการรีสอร์ทก็เลยย้ายกิจการมาเปิดหน้าทำเนียบซะเลย (ฉันก็เคยไปนอนที่มัฆวานเหมือนกัน ด้วยเป็นคนหัวสูง ฉันจึงชอบมัฆวานมากกว่าที่นี่ เพราะที่นั่นกว้างขวาง ถนนสี่เลนแน่ะ อากาศก็เย็นสดชื่น ข้อสำคัญอาจได้โกอินเตอร์ เพราะอยู่หน้าสำนักงานสหประชาชาติซะด้วย) พอสายๆ พี่แดงก็จะกลับไปอาบน้ำอาบท่าบ้านพี่สาวที่วงเวียนใหญ่ ตกเย็นก็จะรีบมาจับจองที่นั่งฟังบรรยายและดูคอนเสิร์ตจนเช้า เป็นอย่างนี้มาเกือบเดือนแล้ว

คุณมาลีสาวโสดลูกบ้านเดียวกับคุณดำรง มาเป็นลูกจ้างขายเสื้อผ้าในกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้างเดือนละ 5,000 บาท กินอยู่เอง ไม่ได้อยู่กับนายจ้าง (เก่งจริงๆ หมูโลละ 120 ข้าวถังละ 500 กว่าบาท ค่าเช่าบ้านพันกว่าบาท เดือนหนึ่งใช้เงินไม่ถึงห้าพันบาท) มาที่นี่เมื่อมีโอกาส ส่วนมากก็จะมานอนในวันสุดสัปดาห์

คุณมณีนี่ก็สุดยอด ขายผลไม้อยู่ในรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ขายแบบไฮโซ คือตามเวลาทำงานของพนักงาน พนักงานหยุดก็หยุดด้วย เลยได้หยุดเสาร์อาทิตย์ ส่วนสามีพี่เขาไปขายผลไม้อยู่ที่ตลาดแห่งหนึ่ง ที่นั่นต้องขายจนมืดค่ำ สามีเลยไม่ได้มาด้วย คุณมณีเป็นคนมีวินัยในการดำเนินชีวิตมาก ทุกวันจะตื่นตี 3 ไปซื้อผลไม้ที่ตลาดมหานาคมาเตรียมขาย เมื่อเลิกงานเอ้ย! เลิกขาย 4 โมงเย็น ก็เก็บร้าน อาบน้ำแล้วก็มาที่นี่ทุกคืน พอสี่ทุ่มก็กลับบ้าน ถ้าเป็นวันศุกร์ก็จะมานอนค้างยาวไปจนถึงคืนวันอาทิตย์ค่อยกลับ เป็นอยู่อย่างนี้มา 1 เดือนแล้ว ลูกๆ เขาโตทำงานกันหมด ส่วนตัวและสามีขายผลไม้ก็มีรายได้เดือนละ 5-6 หมื่น (รายได้ดีกว่าแพทย์ที่รับราชการตั้งสองสามเท่า)

น้องไก่ สาวสวยปานกลางจากสุพรรณบุรี จบปริญญาตรีบริหารธุรกิจ เคยทำงานเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตชุดชั้นในสตรี ตอนหลังเบื่อๆ เลยลาออกมาเปิดร้านขายของประดิษฐ์เอง เช่น โคมไฟ กรอบรูป เพราะแฟนจบช่างศิลป์ ขายไปขายมา เศรษฐกิจตกสะเก็ด (เศรษฐกิจตกสะเก็ดแปลว่า คนจนจนลงมาก คนรวยรวยขึ้นเยอะ) ก็จูงมือกันกลับสุพรรณบุรี ไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆ (ที่นั่งรอเศษๆ ลูกค้าที่หลงเหลือจากการไปซื้อในห้างใหญ่ข้ามชาติ) และขายน้ำมัน สามีก็รับทำงานศิลป์ทั่วไป ทั้งคู่ไม่มีลูก เลยทำให้อยู่ได้ไม่เดือดร้อน มาอยู่ 1 สัปดาห์แล้ว วันนี้ว่าจะกลับบรรหารบุรีซะที

คนสุดท้ายพี่พงษ์ หนุ่มใหญ่สำเนียงเหน่อแบบสุพรรณบุรี อายุ 57 ปี มีที่นา 100 ไร่ ลูกชายเป็นครู ลูกสาวเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลดังด้วยนะ ทำนากับหลาน 2 คนเท่านั้น (นาตั้ง 100 ไร่) เพราะเดี๋ยวนี้การทำงานเขาพัฒนาแล้วจ้า หลังจากใช้ความชำนาญพิเศษในการหว่านข้าวให้ได้ระยะ (จะทำให้ข้าวขึ้นมาสวยงาม ไม่ต้องดำนาแล้ว) ทิ้งไว้สามสี่วันต้นข้าวจะงอก 2-3 เซนต์ ให้หล่อน้ำเข้านา ใส่ปุ๋ยและยาฆ่าหญ้า (ยาฆ่าหญ้านี่ต้องอัจฉริยะแน่ เพราะมันรู้ผิดชอบชั่วดีไม่เหมือนคนบางคน มันเลือกฆ่าแต่ต้นหญ้า ไม่ฆ่าต้นข้าว) แล้วปล่อยทิ้งอย่างนั้น 3-4 เดือน ถ้าเป็นหน้าฝน 3 เดือนก็เกี่ยวได้ เขาเรียกการทำนาปรัง จะได้ข้าวเบา ถ้าเป็นหน้าหนาว พันธุ์ข้าวที่หว่านจะเป็นคนละพันธุ์กัน ใช้เวลา 4 เดือนจึงจะเกี่ยวได้ เขาเรียกนาปี ข้าวที่ได้เรียกว่าข้าวหนัก การเกี่ยวข้าวก็ใช้รถวิ่งเข้าไปในนาข้าว เกี่ยวเสร็จแยกเสร็จ (รถอัจฉริยะ) ข้าวเปลือกก็จะเก็บไว้ในรถ ฟางข้าวก็พ่นออกมาท้ายรถ ตกลงไปเป็นปุ๋ยในนาอีก หรือไม่ก็จะคนมาขอซื้อไปใช้ประโยชน์ต่อ พอดีปล่อยน้ำเข้านาเสร็จ เขาเปิดกิจการรีสอร์ท พี่พงษ์ก็เลยเก็บกระเป๋ามานอนฟรีทั้งที่มัฆวานและหน้าทำเนียบ เปล่านะคะ เขาไม่ได้มาขอส่วนบุญ เอ้ย! ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ระดับนี้แล้ว รายได้จากนา 100 ไร่ ก็พออยู่พอกิน (ไปถึงชาติหน้า) แค่ปีละล้านกว่าๆ เท่านั้น (หักค่าใช้จ่ายแล้วด้วยนะจะบอกให้)

พูดถึงสุพรรณบุรี ขอนอกเรื่องหน่อย ด้วยความที่อยู่ลุ่มเจ้าพระยา พื้นที่จึงอุดมสมบูรณ์ เป็นที่ต้องตาต้องใจใครหลายคน รวมไปถึงนายทุนตะวันออกกลางที่ทำท่าสนใจจะมาซื้อที่นาของชาวสุพรรณ ไม่รู้ต่อไปชาวนาไทยจะต้องเป็นลูกจ้างต่างชาติ รับจ้างทำนาในที่นาที่เคยเป็นของตัวเองหรือเปล่า ยังมีอีกเมื่อหลายปีก่อน นายทุนก็แห่กันไปเช่าที่นาเลี้ยงกุ้งกัน จนที่นาทำท่าจะเสียหายจนกู่ไม่กลับ รัฐบาลที่เพิ่งตื่น (หลังแกล้งหลับไปหลายปี) ก็ออกประกาศห้ามเลี้ยงกุ้งแถบสุพรรณ ช่วยให้ที่นาค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตมาได้

คุยไปคุยมาชักง่วงแล้ว แต่รอบข้างฉันยังมีผู้คนอีกเยอะที่ไม่ได้แจกแจงให้ฟังอย่างละเอียด เช่น คณะบดีหนุ่มใหญ่รูปหล่อที่จบด็อกเตอร์ (แท้ๆ) จากเมืองนอก มากับเพื่อนเจ้าของรีสอร์ทหรูเกาะกลางทะเล (ขนาดตัวเองมีรีสอร์ทหรูยังชอบมานอนรีสอร์ทฟรี) อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษามากที่สุดในกรุงเทพฯ ครูทั้งจากจังหวัดภาคอีสานและตะวันออก แพทย์ทั้งจากโรงพยาบาลเอกชนและรัฐ เจ้าหน้าที่ระดับสูงธนาคารของรัฐ เจ้าพนักงานที่ดินที่มาจากจังหวัด อ.อ่าง (ที่ไม่ใช่อ่างทอง) สาวสวยผู้ยิ้มหวานตลอดเวลามากับสามี ชาวศรีราชาใจดีที่ขับรถขนข้าวหลามและเงาะมาแบ่งกับเพื่อนรอบข้างกินกันจนอิ่มหนำสำราญ เห็นท่าฉันจะต้องขอนอนก่อน ตีสี่กว่าๆ แล้ว อากาศกำลังเย็นสบาย จนหนาวนิดๆ แต่ไม่เป็นไร ฉันอุ่นที่นอนไว้แล้ว (ก็ไอ้พื้นถนนนี่น่ะสิ ทำไมมันคายความร้อนช้าจัง ยังร้อนๆ อยู่เลย) โชคดีคืนนี้ฝนไม่ตก ถ้าตกเหรอ ก็อดนอนซิคะ ต้องลุกขึ้นมาใส่เสื้อกันฝนและกางร่มนั่งดูคอนเสิร์ตไป (ไม่ต้องถามว่าฉันอาบน้ำที่ไหน ก็ไม่ได้อาบซิคะ)

ตีห้ากว่าฉันก็ลุกขึ้นมา แปรงฟันตามสุมทุมพุ่มไม้ โดยไม่ใช้ยาสีฟัน เพราะสงสารต้นไม้ จากนั้นก็มีคนชวนกินข้าวมันไก่ห่อน้อยๆ ยังอุ่นๆ อยู่เลย เขาเพิ่งเอามาบริจาค คนบริจาคก็ดีเหลือเกิน คิดห่วงกังวลอยากให้คนกินอร่อยๆ อุตส่าห์ตื่นมาทำแต่เช้ามืด จากนั้นก็ไปทำธุระในรถสุขาของทาง กทม. ก็พอใช้ได้นะคะ (ไม่เหม็นมากเหมือนรีสอร์ทที่ลานพระรูปปีก่อนโน้น) ต้องขอบคุณ กทม. ที่กรุณาขนน้ำมาให้มากๆ ทำให้ผู้ใช้ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดได้ดีระดับหนึ่ง

วันนี้ฉันคงต้องกลับบ้านไปทำมาหากินและจะกลับมาใหม่แน่นอน สำหรับฉันแล้ว หน้าที่ของมนุษย์ นอกจากเลี้ยงดูบุพการีให้อยู่ดีมีสุขจนท่านจากไป อบรมบุตรธิดาให้เป็นคนดีของสังคม ให้มีการศึกษาหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ยังต้องช่วยกันดูแลสังคมรอบข้าง ตั้งแต่ชุมชนในหมู่บ้าน ตำบล จังหวัดที่เราอยู่ จนไปถึงประเทศชาติของเรา โดยเฉพาะกลุ่มชนที่มีเศรษฐฐานะที่มั่นคง หากทุกคนเอาตัวรอด มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง นั่นคือจุดเริ่มต้นความเสื่อมถอยของประเทศชาติที่เราคนไทยจะทิ้งไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานสืบไป









กำลังโหลดความคิดเห็น