xs
xsm
sm
md
lg

‘สมัคร-ระบอบทักษิณ’ ยังเลวได้อีก?

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

คืนวันที่ 1 ต่อเนื่องวันที่ 2 กันยายน ผมอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ร่วมกับพี่น้องการ์ดพันธมิตรฯ จำนวนหลายร้อยคน ...

เหตุการณ์ในคืนนั้น มีผู้ใหญ่หลายคนเล่าให้ฟังว่า มิได้ผิดแผกอะไรไปจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่กลุ่มกระทิงแดงร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ วางแผนเข้า “ล้อมปราบ-รุมประชาทัณฑ์” กลุ่มนักเรียน-นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนมีนักศึกษาเสียชีวิตหลายสิบคน ทว่า เหตุการณ์ในคืนวันที่ 1 กันยายน นั้นเปลี่ยนตัวละครไปเล็กน้อยก็คือ แทนที่จะเป็นกระทิงแดง-ลูกเสือชาวบ้าน รัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลหันมายืมมือกุ๊ย-อันธพาลกระจอก โดยสมคบคิดกับตำรวจเข้ามาทำการ “ล้อมปราบ” พันธมิตรฯ ณ สะพานมัฆวานฯ และทำเนียบรัฐบาล

ช่วงเวลาประมาณ 1 นาฬิกาของคืนนั้น ผมรุดมาที่แยกประชาเกษมใกล้กับคุรุสภาพร้อมกับพี่และเพื่อนอีก 2 คน หลังจากที่ได้ทราบข่าวการเคลื่อนขบวนของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกจากท้องสนามหลวงมาบนถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปยังสะพานมัฆวานฯ-ทำเนียบรัฐบาล

ระหว่างขับรถเดินทางมายังจุดเกิดเหตุ วิทยุชุมชนคนแท็กซี่คลื่น 92.75 MHz โดยนายถนอม การะเกด ได้ออกอากาศปลุกระดมให้คนขับรถแท็กซี่และรถตู้ออกมาล้อมทำเนียบรัฐบาลเอาไว้ โดยกล่าวหาด้วยข้อความเท็จว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นกบฏของแผ่นดินจากคำตัดสินของศาล (ทั้งๆ ที่ศาลแค่อนุมัติออกหมายจับ) ทั้งยังได้ยึดเอาอาวุธสงครามของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วย โดยทั้งหมดประกาศว่าจะยึดทำเนียบรัฐบาลคืนให้ได้ภายในคืนนั้น

เมื่อมาถึงแยกประชาเกษม เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยคน ตั้งแผงยืนร่วมอยู่กับสมาชิก นปช.ที่แฝงตัวมาโดยใส่เสื้อมหาวิทยาลัยราชดำเนินสีดำของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเมื่อพวกเราแสดงความประสงค์จะสัญจรผ่านหน้าวัดมกุฎกษัตริย์ฯ ผ่านเข้าไป ตำรวจกลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวโดยบอกว่า “เข้าไม่ได้-ออกได้” พวกเราจึงต้องถอยออกมาตั้งหลัก ยืนดูรถพยาบาลคันแล้วคันเล่าวิ่งเข้าไปรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ

ล่วงเลยไปสักพักพวกเราจึงข้ามสะพานมาอีกด้านของคลองผดุงกรุงเกษมที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีจำนวนน้อยกว่า จากนั้นจึงหลอกล่อเจ้าหน้าที่ด้วยการแสดงตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าว เราทั้งสามคนจึงเล็ดลอดเข้ามาถึงบริเวณสะพานมัฆวานฯ ได้

จากการตรวจสอบข่าวจากหลายกระแส หลักฐานจากสื่อหลายแขนง เป็นที่ยอมรับกันว่า ในคืนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ประคองกลุ่ม นปช. หลายพันคนหรือเกือบหมื่นคน รถมอเตอร์ไซค์ รถเครื่องเสียง เดินทางจากสนามหลวงมายังสะพานมัฆวานฯ โดยไม่มีการสกัดกั้นแม้แต่น้อยหรือถ้าสกัดก็ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ซึ่งในเวลาต่อมา พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.รักษาราชการแทน ผบช.น. ผู้คุมสถานการณ์ก็ออกมายอมรับว่า ด้านถนนราชดำเนินมีการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 300 คน ที่มีเพียงโล่ติดมือเพื่อป้องกันการปะทะกันเท่านั้น ทั้งนี้การจัดวางกำลังดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างยิ่ง

ขณะที่ในเวลาต่อมา ภาพข่าวจากโทรทัศน์หลายช่อง ทั้งช่อง 3 ไทยพีบีเอส เอเอสทีวี บ่งชี้ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดทางให้กลุ่ม นปช.ผ่านแผงกั้นบริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบกอย่างง่ายดาย ทั้งยังเดินนำกลุ่ม นปช.มาถึงบริเวณหน้าที่ทำการสหประชาชาติ อันเป็นจุดที่การ์ดพันธมิตรฯ ตั้งแผงไว้อีกด้วย

นั่นเองเป็นสาเหตุว่าทำไม พันธมิตรฯ จึงต้องเริ่มต้นป้องกันตัวเอง และเกิดปะทะกับสมาชิกกลุ่ม นปช.ซึ่งส่วนใหญ่เมาสุรา ...

นอกจากนี้ สื่อหลายแขนง หลายสำนักก็รายงานตรงกันว่า กลุ่ม นปช.ได้รับการบงการ-จ้างวานจาก ส.ส.พรรคพลังประชาชน รัฐมนตรี และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยจำนวนหนึ่ง ให้เดินทางมาก่อการ โดยผู้บงการจำนวนหนึ่งเดินทางมายืนสังเกตการณ์อยู่บริเวณรอบๆ และบางคนถึงกับขึ้นรถเวทีเพื่อปราศรัย

ถือเป็นตลกร้าย และเวรกรรมของประชาชนที่มีผู้นำที่ประพฤติตน ไม่ผิดไปจากกุ๊ยและอันธพาลที่กระหายเลือดและนิยมความรุนแรง มีรัฐบาลที่ประพฤติตัวไม่ผิดอะไรไปจากเจ้าพ่อหรือมาเฟียภูธรยุคเก่า ที่นิยมใช้กำลังข่มขู่ชาวบ้านเมื่อตัวเองไม่สบอารมณ์ หรือไม่ได้ผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการ

สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ เหตุการณ์ความรุนแรงในคืนวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่การชุมนุมในวันแรก 25 พฤษภาคม 2551 โดยครั้งนั้นระหว่างการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตำรวจได้ปล่อยให้กลุ่ม นปช. เข้ากลุ่มรุมทำร้ายพันธมิตรฯ ที่กำลังเคลื่อนขบวนไปบนถนนราชดำเนิน โดยมีหลักฐานชัดแจ้งเป็นรอยแผลบนศีรษะของ “พี่หมี” ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที

อีกสองเดือนต่อมา กุ๊ยของรัฐบาลได้เพิ่มความรุนแรงในการก่อกวนพันธมิตรฯ ยิ่งขึ้น โดยในช่วงบ่ายของวันที่ 24 กรกฎาคม กลุ่มม็อบในนามชมรมคนรักอุดรฯ ที่นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.มหาดไทยในรัฐบาลนายสมัคร และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรฯ และ ส.ส.พลังประชาชน จ.อุดรธานี กรูเข้ารุมทำร้าย พร้อมรื้อเผาเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เข้าไปห้ามปราม เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 คน ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 13 คน มีอาการสาหัสต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู 1 คน

ประสบการณ์อันเลวร้ายเหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องระดมหมวกกันน็อก โล่ไม้ ด้ามธง ท่อนไม้ แป๊บ ท่อนเหล็ก เพื่อใช้ป้องกันตัว จากการคุกคามของอันธพาลใต้ปีกของรัฐบาล

ทำไมผมถึงกล้ากล่าวยืนยันอย่างเต็มปากว่า นปช. เป็นอันธพาลใต้ปีกของรัฐบาล?

ผมก็สงสัยเช่นกันว่า เหตุใดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนตั้งแต่ 25 พ.ค. และกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นผู้ถูกกระทำนั้น ผู้ก่อเหตุความรุนแรงและผู้ยั่วยุ จึงสามารถลอยนวลอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุคลื่น 92.75 MHz ที่เป็นคลื่นปลุกระดมคนและเผยแพร่ความเท็จ ถึงปัจจุบันก็ยังสามารถออกอากาศได้อย่างเสรี ไม่ถูกรบกวน ไม่ถูกตรวจสอบใดๆ จากภาครัฐ ผิดกับสถานีโทรทัศน์ ASTV-สื่อเครือผู้จัดการ หรือกระทั่งตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นนายขวัญชัย ไพรพนา ผู้ก่อเหตุที่อุดรฯ ก็ยังสามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้อย่างสบาย นายวิภูแถลง วิพัฒนภูมิไท และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ปลุกระดมกลุ่ม นปช.ให้มาฆ่าแกงพันธมิตรฯ ในช่วง 2-3 วันมานี้ก็ยังสามารถให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ได้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

แน่นอน ผมไม่ได้บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯ หรือแกนนำเป็นผู้สูงส่งหรือทำอะไรถูกต้องไปเสียทุกอย่าง เพราะอย่างน้อยๆ การนำผู้คนบุกทำเนียบรัฐบาลก็ถือเป็นความสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายอาญา ทว่าเหตุใดจึงไม่มีสื่อมวลชนหรือปัญญาชนผู้ใดเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบจากการกระทำละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 กรณีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมาแล้วอย่างชัดแจ้งว่า “ผิดกฎหมาย” บ้าง?

โปรดอย่าลืมว่า รัฐบาลนายสมัครทุกวันนี้ถือเป็น “รัฐบาลเถื่อน” เพราะพวกเขาละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ!
กำลังโหลดความคิดเห็น