xs
xsm
sm
md
lg

ทุนสิงคโปร์ยังไม่หยุดลงทุน กลุ่มทีอีอีเดินหน้าผุดคอนโดฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน-“ทีอีอี กรุ๊ป” ทุนจากสิงคโปร์เดินหน้าเข้าลงทุนอสังหาฯในไทย พร้อมปรับโครงการตามสถานการณ์บ้านเมือง เผยกำลังซื้อคอนโดฯในเมืองกรุงยังเติบโต 1เดือน โครงการคอนโดฯชีวาทัย ยอดขายไปกว่า 35% ลั่นนโยบายสร้างกำไรสุทธิต่อปีไม่ต่ำกว่า 20% ลั่น 5-7 ดันเข้าตลาดหุ้น ด้านตระกูลองค์วาสิฏฐ์ที่เชื่อมสายสัมพันธ์กับตระกูลพูลวรลักษณ์ เชื่อเศรษฐกิจและการเมืองไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขาย ระบุ 7 เดือนกวาดไปแล้ว 300 ล้านบาท

นายชาติชาย พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริษัท ชีวาทัย จำกัด เศรษฐกิจของไทยในช่วงนี้ ถือว่าชะลอตัวถึงขั้นติดลบไปบ้าง แต่ในการลงทุนนั้นยังคงไม่หยุดลง แต่จะหันไปเน้นลงทุนในโครงการขนาดเล็กไม่เกิน 100 ยูนิต เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าแบบเจาะจง โดยเฉพาะตามชุมชนตลาดเก่า ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง ในเขตกรุงเทพฯชั้นใน ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีโครงการเปิดใหม่ ส่วนรูปแบบหรือระดับราคาสินค้านั้นจะขึ้นอยู่กับทำเลเป็นหลัก

สำหรับบริษัท ชีวาทัย จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ทรานส อิควอโทเรียล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ในเครือบริษัท ทีอีอี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเทศสิงคโปร์ และกลุ่มนายชาติชาย พานิชชีวะ ในสัดส่วนร้อยละ 49 และ 51 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ซึ่งได้เข้ามาลงทุนในไทยกว่า 8 ปี ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการชีวาทัย ราชปรารภ คอนโดฯ สูง 26 ชั้น 329 ยูนิต มูลค่า 1,300 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินขนาดไม่เกิน 1 ไร่ เพื่อพัฒนาคอนโดฯความโลว์ไลท์(ความสูงไม่เกิน 8 ชั้น) ประมาณ 50-60 ยูนิต มูลค่าประมาณ 700-800 ล้านบาท หากเจรจาเรื่องที่ดินจบ จะสามารถเปิดขายได้ภายในปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท/ปี

“ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี เราจะเน้นโครงการขนาดเล็กเจาะกลุ่มลูกค้าโดยตรง แต่หากเศรษฐกิจดีเราจะพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และที่ดินที่มีอยู่ โดยจะไม่จำกัดเรื่องการลงทุน แต่จะต้องมีผลตอบแทนหรือกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 20% และตั้งเป้าว่าภายใน 5-7 ปีจำนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์”

นายสุรินทร์ องค์วาสิฏฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.แอล.เอสเตท จำกัด ผู้ประกอบการโครงการจัดสรรภายใต้แบรนด์ " ราชาวดี " ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับตระกูลพูลวรลักษณ์ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯว่า แม้ในช่วงผ่านมาตลาดอสังหาฯจะรับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ แต่เนื่องลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่มที่มีฐานะ และส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ทำให้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองไม่มีส่วนหรือเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าของบริษัท โดยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย 200-300ล้านบาท จากเป้าขายทั้งปี350ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้า

โดยในเดือนส.ค.นี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯใหม่ในอ.หัวหิน 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ "อมาร่า” เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน มีจำนวน 94 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 2 ล้านบาท มูลค่ารวม 550ล้านบาท ส่วนในปี 52 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการแนวราบในเมืองอีก2โครงการ โดยจะเน้นพัฒนาโรงการที่มีขนาดไม่ใหญ่ สามารถปิดการขายได้ไม่เกิน 16-18 เดือน
กำลังโหลดความคิดเห็น