พิษวิกฤตการเงินโลก ฉุดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2551ของ SSI ขาดทุนสุทธิ 1,375 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนฯจะเพิ่มขึ้น 18%ก็ตาม "วิน" บิ๊กSSI แจงสาเหตุขาดทุนหนักมาจากการตั้งสำรองลดมูลค่าสินค้าในสต็อกกว่า 1พันล้านบาท ยันในปีนี้เน้นบริหารจัดการเยี่ยม หลีกเลี่ยงสต็อกวัตถุดิบมาก ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคา โดยลดกำลังการผลิตลงจากเดือนละ 2แสนตันมาอยู่ที่ไม่ถึง 1แสนตัน ยันปีหน้ารุกตลาดส่งออกมากขึ้นถึง 25% หลังค่าระวางเรือลดฮวบ และผลิตเหล็กแผ่นฯในระดับปกติ
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด(มหาชน)(SSI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2551 บริษัทนและบริษัทย่อยขาดทุนสุทธิ 1,375.46 ล้านบาท แย่ลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 250.30 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือของบริษัทฯตามมาตรฐานบัญชีสูงสุดจำนวน 1,357 ล้านบาท จากมูลค่าสินค้าคงคลังในรูปวัตถุดิบและเหล็กแผ่นรีดร้อนรวมทั้งสิ้น 9,000 ล้านบาท หลังจากราคาเหล็กได้อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่สิงหาคมจากวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาที่รุนแรง
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการในการจัดซื้อวัตถุดิบอย่างระมัดระวัง แต่โดยการดำเนินธุรกิจตามปกติของบริษัทนั้นจำเป็นต้องมีสินค้า คงคลัง ซึ่งประกอบด้วยวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปจำนวนหนึ่งเพื่อให้การขายและการผลิตดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งภายใต้ภาวะการณ์ที่ราคาตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จึงมีผลกระทบในเชิงลบบริษัทได้ถือปฏิบัติให้มีการตีราคาตามราคาตลาดที่คาดว่าจะขายได้ ส่งผลให้ต้องมีการตั้งค่าเผื่อมูลค่าวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3นี้ บริษัทฯมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนในไตรมาสนี้ประมาณ 6,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,072 ล้านบาท หรือโตขึ้น 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทฯยังคงรักษาระดับรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯได้มีการมุ่งเน้นบริหารงานอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยมีการบริหารความเสี่ยงด้านวัตถุดิบให้เกิดประสิทธิภาพและความรัดกุม โดยจัดซื้อเหล็กแท่งแบน (สแลบ)ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตในประมาณที่เหมาะสม โดยมีสต็อกวัตถุดิบล่าสุดไม่ถึง 1เดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคา
โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 6,699.8 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายในไตรมาสเดียวกันของปี 50 ซึ่งมี 5,632.9 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาขายตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาขายต่อหน่วยของบริษัทเพิ่มขึ้น 55% นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็ก 174.1 ล้านบาท สูงกว่าปี 50 ที่มียอดขาย ปรียบ128.1 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 362.3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 636.2 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 50 ผลจากราคาวัตถุดิบได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย และค่าธรรมเนียมการกู้ยืมเงินระยะยาวเพื่อการลงทุน
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 314.87 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 616.47 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน25793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
"ในช่วงที่ราคาวัตถุดิบและเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีนโยบายรอบคอบในการบริหารจัดการ หลีกเลี่ยงการสต็อกวัตถุดิบมาก โดยมีการสั่งซื้อวัตถุดิบน้อยเพื่อไล่ระดับสินค้าคงคลังไม่ให้เหลือมากเกินไป เมื่อราคาเหล็กอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ บริษัทฯจึงได้รับผลกระทบน้อย ซึ่งมองว่าภาวะเช่นนี้น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับบริษัทฯ เพราะต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนแข็งค่าอยู่ที่ 90 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนการผลิตเขาสูง "
นายวิน กล่าวต่อไปว่า ปีหน้าบริษัทฯมองว่าความต้องการใช้เหล็กน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3-4%ดีกว่าปีนี้ที่ขยายตัวเพียง 1-2 % เนื่องจากปีนี้ผู้รับเหมาและโครงการก่อสร้างต่างๆได้ชะลอโครงการลง เนื่องจากราคาเหล็กได้ปรับตัวสูงขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมัน ทำให้ประสบปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น แต่เมื่อเกิดวิกฤตปัญหาซัปไพร์มในสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง และราคาเหล็กในประเทศก็ปรับตัวลดลงมาถึง 50%ในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสที่ผู้รับเหมาและโครงการก่อสร้างจะดำเนินการต่อไปได้ภายใต้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ต่ำลง
ทั้งนี้ เห็นว่าราคาเหล็กที่อ่อนตัวลงในช่วงนี้ใกล้จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว คงต้องรอดูมาตรการแก้วิกฤติการเงินระดับโลกที่จะออกมาในวันที่ 15 พ.ย.นี้ เชื่อว่าหลังออกมาตรการแล้วปัญหาทุกอย่างน่าจะคลี่คลาย ซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ย้อนกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อ 6ปีที่แล้วประมาณตันละ 700 เหรียญสหรัฐ ส่วนปีหน้าราคาจะปรับขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่สามารถตอบได้ แต่น่าจะทรงตัวในระดับนี้ต่อไป
"จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากปัญหาระบบสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ทำให้ยอดขายเหล็กลดลงบ้าง เชื่อว่าจะเป็นช่วงสั้น โดยราคาเหล็กคุณภาพสูงยังราคาดีอยู่ ซึ่งบริษัทฯเน้นผลิตเหล็กคุณภาพดังกล่าว"
จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 60กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ค่าระวางเรือขนส่งในช่วง 3เดือนนี้ปรับลดลงถึง 90% จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯจะหันมาทำตลาดส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนอีกครั้ง หลังจากที่ได้ลดการส่งออกลงเหลือไม่ถึง 10%ในปีนี้จากต้นทุนค่าระวางเรือที่สูง ลดลงจากอดีตที่เคยส่งออกถึง 20-25% ดังนั้นในปีหน้า บริษัทฯตั้งเป้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียประมาณ 20-25% โดยมองว่าตลาดสหรัฐฯยังมีความต้องการใช้เหล็กแผ่นคุณภาพพิเศษอยู่ แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะหดตัวลงก็ตาม แต่ภาคธุรกิจอื่นยังไปได้ ซึ่งมาร์จินส่งออกดีกว่าขายในประเทศเล็กน้อย และตลาดส่งออกเหล็กแผ่นคุณภาพสูงนี้จะอยู่คนละตลาดเหล็กแผ่นฯจากจีนที่มีราคาถูก
นายวินกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ บริษัทฯผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนน้อยกว่า 1.2 ล้านตัน โดยผลิตน้อยกว่า 1แสนตัน/เดือน จากเดิมที่เคยผลิตถึง 2 แสนตัน/เดือน แต่เมื่อราคาวัตถุดิบเหล็กอ่อนตัวลง รวมทั้งการเร่งขยายตลาดส่งออก เชื่อว่าปีหน้าบริษัทฯจะกลับมาผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนได้เพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 2 แสนตัน/เดือน
สำหรับแผนการทำตลาดเหล็กแผ่นรีดเย็นภายหลังจากบริษัทฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จะเน้นขายสินค้าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าถึง 80%ของกำลังการผลิต ที่เหลือจะส่งออกในประเทศแถบนี้ โดยมองว่าการเข้าไปถือหุ้นในเหล็กเหล็กแผ่นรีดเย็นไทยจะเป็นช่องทางทำตลาดเหล็กแผ่นชนิดคุณภาพสูงให้กับสหวิริยาสตีลฯด้วย
**** ราคาเหล็กในปท.ร่วงหนักกว่าตลาดโลก
นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาเหล็กที่เกิดขึ้นในไทยนี้พบว่าราคาเหล็กได้อ่อนตัวลงมาถึง 50% ปรับแรงกว่าราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงเพียง 30% เนื่องจากคนไทยตื่นตกใจจากเหตุการณ์ที่ราคาอ่อนตัวลงแรง ทำให้แห่เทขายเหล็กออกมาในตลาด ยิ่งกดดันทำให้ราคาปรับลงมากขึ้น จากปัญหาดังกล่าวนี้ทำให้วิตกกังวลว่าสินค้าคงคลังที่ผู้ประกอบการถือครองอยู่จะขาดทุนมากขึ้น ส่วนราคาเหล็กจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน
สำหรับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กก็อยู่ในช่วงขาลง ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นราคาเหล็กปรับขึ้นเร็วคงเป็นไปได้ยาก ซึ่งตนเชื่อว่าการเจรจาซื้อขายสินแร่เหล็กในปลายปีนี้ ราคาน่าจะลดลงตามทิศทางราคาเหล็กในช่วงนี้
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด(มหาชน)(SSI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2551 บริษัทนและบริษัทย่อยขาดทุนสุทธิ 1,375.46 ล้านบาท แย่ลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 250.30 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือของบริษัทฯตามมาตรฐานบัญชีสูงสุดจำนวน 1,357 ล้านบาท จากมูลค่าสินค้าคงคลังในรูปวัตถุดิบและเหล็กแผ่นรีดร้อนรวมทั้งสิ้น 9,000 ล้านบาท หลังจากราคาเหล็กได้อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่สิงหาคมจากวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาที่รุนแรง
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการในการจัดซื้อวัตถุดิบอย่างระมัดระวัง แต่โดยการดำเนินธุรกิจตามปกติของบริษัทนั้นจำเป็นต้องมีสินค้า คงคลัง ซึ่งประกอบด้วยวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปจำนวนหนึ่งเพื่อให้การขายและการผลิตดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งภายใต้ภาวะการณ์ที่ราคาตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จึงมีผลกระทบในเชิงลบบริษัทได้ถือปฏิบัติให้มีการตีราคาตามราคาตลาดที่คาดว่าจะขายได้ ส่งผลให้ต้องมีการตั้งค่าเผื่อมูลค่าวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3นี้ บริษัทฯมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนในไตรมาสนี้ประมาณ 6,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,072 ล้านบาท หรือโตขึ้น 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทฯยังคงรักษาระดับรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯได้มีการมุ่งเน้นบริหารงานอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยมีการบริหารความเสี่ยงด้านวัตถุดิบให้เกิดประสิทธิภาพและความรัดกุม โดยจัดซื้อเหล็กแท่งแบน (สแลบ)ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตในประมาณที่เหมาะสม โดยมีสต็อกวัตถุดิบล่าสุดไม่ถึง 1เดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคา
โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 6,699.8 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายในไตรมาสเดียวกันของปี 50 ซึ่งมี 5,632.9 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาขายตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาขายต่อหน่วยของบริษัทเพิ่มขึ้น 55% นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็ก 174.1 ล้านบาท สูงกว่าปี 50 ที่มียอดขาย ปรียบ128.1 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 362.3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 636.2 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 50 ผลจากราคาวัตถุดิบได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย และค่าธรรมเนียมการกู้ยืมเงินระยะยาวเพื่อการลงทุน
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 314.87 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 616.47 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน25793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
"ในช่วงที่ราคาวัตถุดิบและเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีนโยบายรอบคอบในการบริหารจัดการ หลีกเลี่ยงการสต็อกวัตถุดิบมาก โดยมีการสั่งซื้อวัตถุดิบน้อยเพื่อไล่ระดับสินค้าคงคลังไม่ให้เหลือมากเกินไป เมื่อราคาเหล็กอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ บริษัทฯจึงได้รับผลกระทบน้อย ซึ่งมองว่าภาวะเช่นนี้น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับบริษัทฯ เพราะต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนแข็งค่าอยู่ที่ 90 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนการผลิตเขาสูง "
นายวิน กล่าวต่อไปว่า ปีหน้าบริษัทฯมองว่าความต้องการใช้เหล็กน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3-4%ดีกว่าปีนี้ที่ขยายตัวเพียง 1-2 % เนื่องจากปีนี้ผู้รับเหมาและโครงการก่อสร้างต่างๆได้ชะลอโครงการลง เนื่องจากราคาเหล็กได้ปรับตัวสูงขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมัน ทำให้ประสบปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น แต่เมื่อเกิดวิกฤตปัญหาซัปไพร์มในสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง และราคาเหล็กในประเทศก็ปรับตัวลดลงมาถึง 50%ในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสที่ผู้รับเหมาและโครงการก่อสร้างจะดำเนินการต่อไปได้ภายใต้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ต่ำลง
ทั้งนี้ เห็นว่าราคาเหล็กที่อ่อนตัวลงในช่วงนี้ใกล้จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว คงต้องรอดูมาตรการแก้วิกฤติการเงินระดับโลกที่จะออกมาในวันที่ 15 พ.ย.นี้ เชื่อว่าหลังออกมาตรการแล้วปัญหาทุกอย่างน่าจะคลี่คลาย ซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ย้อนกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อ 6ปีที่แล้วประมาณตันละ 700 เหรียญสหรัฐ ส่วนปีหน้าราคาจะปรับขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่สามารถตอบได้ แต่น่าจะทรงตัวในระดับนี้ต่อไป
"จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากปัญหาระบบสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ทำให้ยอดขายเหล็กลดลงบ้าง เชื่อว่าจะเป็นช่วงสั้น โดยราคาเหล็กคุณภาพสูงยังราคาดีอยู่ ซึ่งบริษัทฯเน้นผลิตเหล็กคุณภาพดังกล่าว"
จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 60กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ค่าระวางเรือขนส่งในช่วง 3เดือนนี้ปรับลดลงถึง 90% จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯจะหันมาทำตลาดส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนอีกครั้ง หลังจากที่ได้ลดการส่งออกลงเหลือไม่ถึง 10%ในปีนี้จากต้นทุนค่าระวางเรือที่สูง ลดลงจากอดีตที่เคยส่งออกถึง 20-25% ดังนั้นในปีหน้า บริษัทฯตั้งเป้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียประมาณ 20-25% โดยมองว่าตลาดสหรัฐฯยังมีความต้องการใช้เหล็กแผ่นคุณภาพพิเศษอยู่ แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะหดตัวลงก็ตาม แต่ภาคธุรกิจอื่นยังไปได้ ซึ่งมาร์จินส่งออกดีกว่าขายในประเทศเล็กน้อย และตลาดส่งออกเหล็กแผ่นคุณภาพสูงนี้จะอยู่คนละตลาดเหล็กแผ่นฯจากจีนที่มีราคาถูก
นายวินกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ บริษัทฯผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนน้อยกว่า 1.2 ล้านตัน โดยผลิตน้อยกว่า 1แสนตัน/เดือน จากเดิมที่เคยผลิตถึง 2 แสนตัน/เดือน แต่เมื่อราคาวัตถุดิบเหล็กอ่อนตัวลง รวมทั้งการเร่งขยายตลาดส่งออก เชื่อว่าปีหน้าบริษัทฯจะกลับมาผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนได้เพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 2 แสนตัน/เดือน
สำหรับแผนการทำตลาดเหล็กแผ่นรีดเย็นภายหลังจากบริษัทฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จะเน้นขายสินค้าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าถึง 80%ของกำลังการผลิต ที่เหลือจะส่งออกในประเทศแถบนี้ โดยมองว่าการเข้าไปถือหุ้นในเหล็กเหล็กแผ่นรีดเย็นไทยจะเป็นช่องทางทำตลาดเหล็กแผ่นชนิดคุณภาพสูงให้กับสหวิริยาสตีลฯด้วย
**** ราคาเหล็กในปท.ร่วงหนักกว่าตลาดโลก
นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาเหล็กที่เกิดขึ้นในไทยนี้พบว่าราคาเหล็กได้อ่อนตัวลงมาถึง 50% ปรับแรงกว่าราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงเพียง 30% เนื่องจากคนไทยตื่นตกใจจากเหตุการณ์ที่ราคาอ่อนตัวลงแรง ทำให้แห่เทขายเหล็กออกมาในตลาด ยิ่งกดดันทำให้ราคาปรับลงมากขึ้น จากปัญหาดังกล่าวนี้ทำให้วิตกกังวลว่าสินค้าคงคลังที่ผู้ประกอบการถือครองอยู่จะขาดทุนมากขึ้น ส่วนราคาเหล็กจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน
สำหรับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กก็อยู่ในช่วงขาลง ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นราคาเหล็กปรับขึ้นเร็วคงเป็นไปได้ยาก ซึ่งตนเชื่อว่าการเจรจาซื้อขายสินแร่เหล็กในปลายปีนี้ ราคาน่าจะลดลงตามทิศทางราคาเหล็กในช่วงนี้