เมื่อวานซืนผมขับรถไปส่งแม่ภรรยาไปโรงพยาบาลรามาธิบดีประมาณ 6 โมงเช้ากว่าๆ แล้ว และกำลังบ่ายหน้าเพื่อมาเข้าสำนักงาน ก็พบกับขบวนรถเปิดปะทุนเต็มไปด้วยพลพรรคของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งแน่ใจว่าได้เดินทางมาสมทบกับขบวนใหญ่ในวันเผด็จศึก
ผมก็เลยเปิดหน้าต่างโบกมือให้พวกเขาดีใจ และผมสังเกตเห็นมีรถยนต์สองสามคันมองมาด้วยความแปลกใจเขาคงจะทำอย่างผมบ้างคนในรถพันธมิตรฯ ยิ้มแย้มแจ่มใส แววตามีความหวังกันทุกคนผมก็คาดว่า “วันเผด็จศึก” จะกลายไปเป็นอีกวันหนึ่งที่จะจารึกว่า ประชนชนสามารถขับไล่พวกตัวแทนเผด็จการในรูปแบบทุนนิยมได้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นชุมนุมกันยาวที่สุดในการประท้วงจนถือว่าเป็นประวัติการณ์ไปแล้วนะครับ และเป็นการชุมนุมที่มาจากทุกชนชาติ, ศาสนา และประกอบไปด้วยคนทุกวันตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงคนชรา
คนต่างจังหวัดถ้ามาไม่ได้ก็อาศัยโทรทัศน์ หลายคนที่ผมรู้จักติดจานดาวเทียมเพื่อเปิดดูเอเอสทีวี โดยเปิดคาช่องดูตลอดเวลา ญาติผมนั้นดูทุกวันและบอกผมว่า ถ้าไม่มีคนอย่างคุณสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ ไปคุ้ยข้อมูล ประชาชนจะไม่มีวันได้ข้อมูลเลยว่า อดีตนายกฯ ที่เคยเชื่อกันว่า “คนรวยไม่โกง”นั้น แท้จริงแล้ว “โกงมากกว่าใครเพื่อน” และคน “ยิ่งรวย” ก็ “ยิ่งโลภมากกว่าคนจน”
สัจธรรมที่ว่าเมื่อ “รวยและมีอำนาจ” มันคือการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ควบรวม 2 อย่างเข้าด้วยกัน บ้านเมืองก็ฉิบหาย และประชาชนมีแต่รอวันหายนะ และสิ้นชาติโดยไม่ต้องให้ใครมารุกราน!!
การที่พันธมิตรฯ ตัดสินใจเป่านกหวีดตั้งแต่เช้าวันที่ 26 สิงหาคมนี้ รัฐบาลมองว่าเป็นการ “หาที่ลง” ซึ่งเป็นมุมมองแบบสิ้นคิด เพราะรัฐบาลนั้นอยู่ในขาลงจนหมดทางออกแล้ว
ความจริงรัฐบาลนี้ขาดความชอบธรรม อีกนัยหนึ่งคือไม่สามารถปกครองประชาชนได้โดยชอบธรรมมานานแล้ว ที่อยู่ได้ก็เพราะดันทุรังและอยู่ได้ก็เพื่อแทะกินผลประโยชน์จากงบประมาณอันมีที่มาจากภาษีอากรของประชาชนเท่านั้น เห็นได้จากการตั้งงบประมาณมหาศาล ซึ่งกล่าวกันว่าตั้งแต่คิดจะตั้งงบก็เริ่มคำนวณตัวเลขเข้ากระเป๋าตัวเองและพวกกันเลยทีเดียว
นายกรัฐมนตรีซึ่งมีปากเป็นอาจมเน่าเหม็นยังใช้วาจาสามหาวออกมาสำทับว่า หากจะมีบึ้มหรือระเบิดเกิดขึ้นกลางที่ชุมนุมก็อย่ามาโทษรัฐบาล
นี่แหละ มันบอกถึงการพูดที่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่ขู่แต่มันเหมือนชี้ช่องในประการแรก และในประการที่สองมันเป็นการบอกใบ้ให้ใครก็ได้สามารถทำได้ โดยรัฐบาลไม่ได้ว่าอะไร
อย่างนี้แล้วสมควรใช่ไหม? ที่พนักงานกฎหมายต้องพิจารณาดำเนินการในฐานก่อหรือพยายามยุยงหรือชี้ช่องให้มีการกระทำผิดกฎหมายโดยเจตนา
การอ้างว่าจะให้ตำรวจมาดูแล ก็เป็นการอ้างไปแบบลมพัดลมเพ เพราะที่ผ่านมา การชุมนุมที่คนน้อยๆ ในต่างจังหวัด หรือแม้แต่ในกทม.ตำรวจก็ยืนดูเฉยๆ ทั้งๆ ที่มีการไล่ตีไล่ทุบกันซึ่งๆ หน้า
ที่น่าวิตกก็คือ ตำรวจเองแค่ประเมินว่าจะมีคนมาชุมนุมแค่ 2 หมื่นไม่ถึง 3หมื่นคนด้วยซ้ำ มันหมายถึงการจัดกำลังของตำรวจก็จะน้อยตามการประเมินที่ว่านี้ไปด้วย
มันส่อชัดว่าตำรวจเองก็ต้องการให้มีคนเฝ้าระวังน้อยเข้าไว้ เพราะถ้าเกิดจลาจลก็จะมีข้ออ้างได้สารพัดว่า ประเมินจำนวนคนไว้ผิดพลาด จนจัดกำลังคนน้อย และไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้
ไอ้ของแบบนี้แหละรัฐบาลไม่ว่าตำรวจเองก็พอใจ หากพันธมิตรฯ จะโดนรังแกอย่าลืมว่าวันสำคัญเช่นนี้ กำลังพันธมิตรฯ จะถึงแสนคนเพราะเป็นครั้งสำคัญที่สุด
ที่ผ่านมาก็เคยถึงแสนมาหลายครั้ง เช่น การเคลื่อนตัวไปปิดล้อมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 20 มิถุนายน ปีนี้ เป็นต้น
ความสำเร็จในการเคลื่อนไหว จนประสบชัยชนะของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นมีผลงานนับได้ก็หลายครั้ง นสพ.ผู้จัดการนับได้ถึง 37 ครั้งใน 93 วัน แห่งการชุมนุม
ทำให้รัฐมนตรีนพดล ปัทมะ ลูกกะโล่ห์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ จนมุมที่ทำให้ชาติไทยเสียเกียรติภูมิ และเสียดินแดนโดยจงใจอย่างน่าอดสู เป็นกรณีอัปยศในกรณีเขาพระวิหาร ทุกวันนี้กล่าวกันว่า หากนายนพดล ปัทมะเดินเข้าไปในอำเภอเมืองศรีสะเกษ เขาจะโดนรุมสหบาทา หรือรุมกระทืบโดนคนศรีสะเกษไม่ตายก็ร่อแร่ละครับ
นอกจากนั้น กรณีเขาพระวิหารยังทำรัฐบาลหน้าแตกอีกหลายเรื่อง เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำพิพากษาเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียงว่าประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารนั้น แท้แล้วเป็นหนังสือสนธิสัญญาโดยมิต้องสงสัยเลย ซึ่งเมื่อไม่ผ่านรัฐสภาจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และเป็นไปตามที่ทางพันธมิตรฯ ได้ชี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
นี่แหละเป็นเหตุให้รัฐบาลนี้จงเกลียดจงชังบรรดาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คับแค้นใจกับพันธมิตรฯ จนกระอักและสำรอกเลือดออกมา
ครับ... การเป่านกหวีดจะเป็นประวัติศาสตร์เล่าขานไปถึงลูกหลานไม่ใช่ว่ามันเป็นวันยุติ หรือวันจบของพันธมิตรฯ
แต่เป็นวันฟ้าเปิดเพื่อรับอรุณรุ่งแห่งศรัทธาที่ประชาชนจะมองเห็นขอบฟ้าที่เรืองรอง และเห็นความหวังที่เป็นจริง และไม่เห็นคนที่เจ๋ออย่างนายสมัครอีกต่อไป.... ปล่อยให้แกไปนั่งไปนอนผายลมอยู่ที่บ้านดีกว่า
ผมก็เลยเปิดหน้าต่างโบกมือให้พวกเขาดีใจ และผมสังเกตเห็นมีรถยนต์สองสามคันมองมาด้วยความแปลกใจเขาคงจะทำอย่างผมบ้างคนในรถพันธมิตรฯ ยิ้มแย้มแจ่มใส แววตามีความหวังกันทุกคนผมก็คาดว่า “วันเผด็จศึก” จะกลายไปเป็นอีกวันหนึ่งที่จะจารึกว่า ประชนชนสามารถขับไล่พวกตัวแทนเผด็จการในรูปแบบทุนนิยมได้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นชุมนุมกันยาวที่สุดในการประท้วงจนถือว่าเป็นประวัติการณ์ไปแล้วนะครับ และเป็นการชุมนุมที่มาจากทุกชนชาติ, ศาสนา และประกอบไปด้วยคนทุกวันตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงคนชรา
คนต่างจังหวัดถ้ามาไม่ได้ก็อาศัยโทรทัศน์ หลายคนที่ผมรู้จักติดจานดาวเทียมเพื่อเปิดดูเอเอสทีวี โดยเปิดคาช่องดูตลอดเวลา ญาติผมนั้นดูทุกวันและบอกผมว่า ถ้าไม่มีคนอย่างคุณสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ ไปคุ้ยข้อมูล ประชาชนจะไม่มีวันได้ข้อมูลเลยว่า อดีตนายกฯ ที่เคยเชื่อกันว่า “คนรวยไม่โกง”นั้น แท้จริงแล้ว “โกงมากกว่าใครเพื่อน” และคน “ยิ่งรวย” ก็ “ยิ่งโลภมากกว่าคนจน”
สัจธรรมที่ว่าเมื่อ “รวยและมีอำนาจ” มันคือการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ควบรวม 2 อย่างเข้าด้วยกัน บ้านเมืองก็ฉิบหาย และประชาชนมีแต่รอวันหายนะ และสิ้นชาติโดยไม่ต้องให้ใครมารุกราน!!
การที่พันธมิตรฯ ตัดสินใจเป่านกหวีดตั้งแต่เช้าวันที่ 26 สิงหาคมนี้ รัฐบาลมองว่าเป็นการ “หาที่ลง” ซึ่งเป็นมุมมองแบบสิ้นคิด เพราะรัฐบาลนั้นอยู่ในขาลงจนหมดทางออกแล้ว
ความจริงรัฐบาลนี้ขาดความชอบธรรม อีกนัยหนึ่งคือไม่สามารถปกครองประชาชนได้โดยชอบธรรมมานานแล้ว ที่อยู่ได้ก็เพราะดันทุรังและอยู่ได้ก็เพื่อแทะกินผลประโยชน์จากงบประมาณอันมีที่มาจากภาษีอากรของประชาชนเท่านั้น เห็นได้จากการตั้งงบประมาณมหาศาล ซึ่งกล่าวกันว่าตั้งแต่คิดจะตั้งงบก็เริ่มคำนวณตัวเลขเข้ากระเป๋าตัวเองและพวกกันเลยทีเดียว
นายกรัฐมนตรีซึ่งมีปากเป็นอาจมเน่าเหม็นยังใช้วาจาสามหาวออกมาสำทับว่า หากจะมีบึ้มหรือระเบิดเกิดขึ้นกลางที่ชุมนุมก็อย่ามาโทษรัฐบาล
นี่แหละ มันบอกถึงการพูดที่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่ขู่แต่มันเหมือนชี้ช่องในประการแรก และในประการที่สองมันเป็นการบอกใบ้ให้ใครก็ได้สามารถทำได้ โดยรัฐบาลไม่ได้ว่าอะไร
อย่างนี้แล้วสมควรใช่ไหม? ที่พนักงานกฎหมายต้องพิจารณาดำเนินการในฐานก่อหรือพยายามยุยงหรือชี้ช่องให้มีการกระทำผิดกฎหมายโดยเจตนา
การอ้างว่าจะให้ตำรวจมาดูแล ก็เป็นการอ้างไปแบบลมพัดลมเพ เพราะที่ผ่านมา การชุมนุมที่คนน้อยๆ ในต่างจังหวัด หรือแม้แต่ในกทม.ตำรวจก็ยืนดูเฉยๆ ทั้งๆ ที่มีการไล่ตีไล่ทุบกันซึ่งๆ หน้า
ที่น่าวิตกก็คือ ตำรวจเองแค่ประเมินว่าจะมีคนมาชุมนุมแค่ 2 หมื่นไม่ถึง 3หมื่นคนด้วยซ้ำ มันหมายถึงการจัดกำลังของตำรวจก็จะน้อยตามการประเมินที่ว่านี้ไปด้วย
มันส่อชัดว่าตำรวจเองก็ต้องการให้มีคนเฝ้าระวังน้อยเข้าไว้ เพราะถ้าเกิดจลาจลก็จะมีข้ออ้างได้สารพัดว่า ประเมินจำนวนคนไว้ผิดพลาด จนจัดกำลังคนน้อย และไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้
ไอ้ของแบบนี้แหละรัฐบาลไม่ว่าตำรวจเองก็พอใจ หากพันธมิตรฯ จะโดนรังแกอย่าลืมว่าวันสำคัญเช่นนี้ กำลังพันธมิตรฯ จะถึงแสนคนเพราะเป็นครั้งสำคัญที่สุด
ที่ผ่านมาก็เคยถึงแสนมาหลายครั้ง เช่น การเคลื่อนตัวไปปิดล้อมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 20 มิถุนายน ปีนี้ เป็นต้น
ความสำเร็จในการเคลื่อนไหว จนประสบชัยชนะของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นมีผลงานนับได้ก็หลายครั้ง นสพ.ผู้จัดการนับได้ถึง 37 ครั้งใน 93 วัน แห่งการชุมนุม
ทำให้รัฐมนตรีนพดล ปัทมะ ลูกกะโล่ห์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ จนมุมที่ทำให้ชาติไทยเสียเกียรติภูมิ และเสียดินแดนโดยจงใจอย่างน่าอดสู เป็นกรณีอัปยศในกรณีเขาพระวิหาร ทุกวันนี้กล่าวกันว่า หากนายนพดล ปัทมะเดินเข้าไปในอำเภอเมืองศรีสะเกษ เขาจะโดนรุมสหบาทา หรือรุมกระทืบโดนคนศรีสะเกษไม่ตายก็ร่อแร่ละครับ
นอกจากนั้น กรณีเขาพระวิหารยังทำรัฐบาลหน้าแตกอีกหลายเรื่อง เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำพิพากษาเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียงว่าประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารนั้น แท้แล้วเป็นหนังสือสนธิสัญญาโดยมิต้องสงสัยเลย ซึ่งเมื่อไม่ผ่านรัฐสภาจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และเป็นไปตามที่ทางพันธมิตรฯ ได้ชี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
นี่แหละเป็นเหตุให้รัฐบาลนี้จงเกลียดจงชังบรรดาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คับแค้นใจกับพันธมิตรฯ จนกระอักและสำรอกเลือดออกมา
ครับ... การเป่านกหวีดจะเป็นประวัติศาสตร์เล่าขานไปถึงลูกหลานไม่ใช่ว่ามันเป็นวันยุติ หรือวันจบของพันธมิตรฯ
แต่เป็นวันฟ้าเปิดเพื่อรับอรุณรุ่งแห่งศรัทธาที่ประชาชนจะมองเห็นขอบฟ้าที่เรืองรอง และเห็นความหวังที่เป็นจริง และไม่เห็นคนที่เจ๋ออย่างนายสมัครอีกต่อไป.... ปล่อยให้แกไปนั่งไปนอนผายลมอยู่ที่บ้านดีกว่า