วานนี้ ( 22 ส.ค.) คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนเรื่องร้องคัดค้านกรณีทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส. เขต 1 จ.อุบลราชธานี กรณีนายสมบัติ รัตโณ อดีตผู้สมัครพรรคพลังประชาชน กล่าวหา นายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.สัดส่วน นายศุภชัย ศรีหล้า นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส. อุบลราชธานี เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ และนายวิทวัส พันธ์นิกุล อดีตผู้สมัครส.ส. เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในข้อหาแจกตั๋วชมภาพยนตร์จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาลงคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. ที่มีนาย สุธน แสงสายัณห์ เป็นประธานอนุฯ ได้มีการประชุมเพื่อสรุปสำนวน
โดยนายสุธน กล่าวว่า อนุฯได้มีการประชุม เพื่อพิจารณาสรุปสำนวนเสนอ ความเห็นต่อ กกต. ส่วนลายละเอียดของผลสรุปนั้น ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวีซีดีที่ระบุว่าเป็นหลักฐานกระทำผิด ก็เปิดเผยไม่ได้ เนื่องจากเป็นความลับ อีกทั้งสำนวนดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาสาระที่มีหลายประเด็น ที่ต้องพิจารณา เพราะมีทั้งฝ่ายของผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆ แต่ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย ไม่มีอคติ ไม่มีการตั้งธง จะผิดจะถูกต้องขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐาน ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาทุกประเด็น
เนื้อหารายละเอียดในสำนวนมีหลายประเด็น แต่ยืนยันว่า จะสามารถสรุป ผลการสืบสวนสอบสวนได้ในวันเดียวกัน แต่คงไม่สามารถที่จะจัดทำสรุป เป็นเอกสารเสนอต่อ กกต.ได้ในทันที คาดว่าน่าจะเสนอต่อที่ประชุมได้ภายในสัปดาห์หน้า
นายสุธน ยังปฏิเสธที่จะระบุว่าการพิจารณาของอนุฯไปถึงขั้นเสนอเรื่อง การยุบพรรคหรือไม่ เพราะนายวิฑูรย์ นามบุตรเป็นกรรมการบริหารพรรค โดยกล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าพรรคไหนเค้าพิจารณาไปถึงขั้นไหน แต่อนุฯพิจารณาไปตามหลักฐาน และขอบเขตอำนาจที่มี
ส่วนที่นายกรัฐมนตรี เคยระบุว่า กกต.เคยมีการตั้งธงว่า นายวิฑูรย์ จะไม่ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิ เพื่อที่จะได้ไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ นายสุธนกล่าวว่า ตนไม่ทราบ เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับตั้งธง แต่อยู่ที่พยานหลักฐาน เราต้องดูรายละเอียดทั้งของพยานผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ยืนยันว่า ไม่มีข้อมูลจากอนุฯหลุดไปถึงมือ นายกฯ หรือถึงมือใครแน่นอน และไม่มีใครมากดดันวิ่งเต้นยกคำร้องในสำนวนดังกล่าวแน่นอน
อย่างไรก็ตามรายงานข่าวแจ้งว่า การพิจารณา ของคณะอนุฯ มีความเห็น ไปในทางเดียวกันว่า เห็นควรยกคำร้อง เนื่องจากการแจกคูปองตั๋วชมภาพยนตร์นั้นกระทำก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง โดยทางโรงภาพยนตร์เนวาด้าร์ ได้แจกคูปองมาตั้งแต่ปี 2518 จนถึงช่วงใกล้มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งก็มีการห้ามมิให้นำคูปองดังกล่าวมาใช้แลกเป็นตั๋วเพื่อเข้าชมภาพยนตร์ อีกทั้งก็ไม่พบว่านายวิฑูรย์มีส่วนรู้เห็นกับกรณีดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในวันอังคารที่ 26 ส.ค.ทางคณะอนุฯจะมีการประชุมอีกครั้ง เพื่อดูรายละเอียดของผลสรุปก่อนที่จะดูลายละเอียดอีกครั้งก่อนที่จะส่งให้กับกกต.พิจารณาต่อไป
โดยนายสุธน กล่าวว่า อนุฯได้มีการประชุม เพื่อพิจารณาสรุปสำนวนเสนอ ความเห็นต่อ กกต. ส่วนลายละเอียดของผลสรุปนั้น ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวีซีดีที่ระบุว่าเป็นหลักฐานกระทำผิด ก็เปิดเผยไม่ได้ เนื่องจากเป็นความลับ อีกทั้งสำนวนดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาสาระที่มีหลายประเด็น ที่ต้องพิจารณา เพราะมีทั้งฝ่ายของผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆ แต่ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย ไม่มีอคติ ไม่มีการตั้งธง จะผิดจะถูกต้องขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐาน ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาทุกประเด็น
เนื้อหารายละเอียดในสำนวนมีหลายประเด็น แต่ยืนยันว่า จะสามารถสรุป ผลการสืบสวนสอบสวนได้ในวันเดียวกัน แต่คงไม่สามารถที่จะจัดทำสรุป เป็นเอกสารเสนอต่อ กกต.ได้ในทันที คาดว่าน่าจะเสนอต่อที่ประชุมได้ภายในสัปดาห์หน้า
นายสุธน ยังปฏิเสธที่จะระบุว่าการพิจารณาของอนุฯไปถึงขั้นเสนอเรื่อง การยุบพรรคหรือไม่ เพราะนายวิฑูรย์ นามบุตรเป็นกรรมการบริหารพรรค โดยกล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าพรรคไหนเค้าพิจารณาไปถึงขั้นไหน แต่อนุฯพิจารณาไปตามหลักฐาน และขอบเขตอำนาจที่มี
ส่วนที่นายกรัฐมนตรี เคยระบุว่า กกต.เคยมีการตั้งธงว่า นายวิฑูรย์ จะไม่ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิ เพื่อที่จะได้ไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ นายสุธนกล่าวว่า ตนไม่ทราบ เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับตั้งธง แต่อยู่ที่พยานหลักฐาน เราต้องดูรายละเอียดทั้งของพยานผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ยืนยันว่า ไม่มีข้อมูลจากอนุฯหลุดไปถึงมือ นายกฯ หรือถึงมือใครแน่นอน และไม่มีใครมากดดันวิ่งเต้นยกคำร้องในสำนวนดังกล่าวแน่นอน
อย่างไรก็ตามรายงานข่าวแจ้งว่า การพิจารณา ของคณะอนุฯ มีความเห็น ไปในทางเดียวกันว่า เห็นควรยกคำร้อง เนื่องจากการแจกคูปองตั๋วชมภาพยนตร์นั้นกระทำก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง โดยทางโรงภาพยนตร์เนวาด้าร์ ได้แจกคูปองมาตั้งแต่ปี 2518 จนถึงช่วงใกล้มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งก็มีการห้ามมิให้นำคูปองดังกล่าวมาใช้แลกเป็นตั๋วเพื่อเข้าชมภาพยนตร์ อีกทั้งก็ไม่พบว่านายวิฑูรย์มีส่วนรู้เห็นกับกรณีดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในวันอังคารที่ 26 ส.ค.ทางคณะอนุฯจะมีการประชุมอีกครั้ง เพื่อดูรายละเอียดของผลสรุปก่อนที่จะดูลายละเอียดอีกครั้งก่อนที่จะส่งให้กับกกต.พิจารณาต่อไป