โอสถสภา โยกเปปทีนจากไบท์แบงค็อก ขึ้นฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล เพื่อเกิดความชัดเจนการทำธุรกิจ ล่าสุดเปิดตัวเวปไซต์ www.soypeptide.org ชูข้อมูลวิชาป้อนความรู้และสร้างความเข้าใจสู่กลุ่มเป้าหมาย ปีแรกตั้งเป้ากวาด 300 ล้านบาท
นายยอดมิตร ทองยงค์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง M-150 เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทตั้งหน่วยงานการตลาดใหม่ขึ้นมา คือ ฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล เพื่อดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและเรียลฟังก์ชันนัล ซึ่งเป็นธุรกิจขาใหม่ที่เข้ามาช่วยผลักดันให้กลุ่มเครื่องดื่มมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ล่าสุดเพื่อให้เกิดความชัดเจนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัท ได้โยกเครื่องดื่มเปปทีนจากกลุ่มไบท์แบงค็อก ซึ่งเน้นผลิตสินค้าเจาะตลาดนิชมาร์เก็ต มาอยู่ในฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล
“การทำตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัลมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับเครื่องดื่มชูกำลัง ขณะที่กลุ่มเป้าหมายก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องโยกเปปทีนมาไว้ที่หน่วยงานดังกล่าว”
สำหรับการทำตลาดฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล บริษัทจะมุ่งเน้นเปปทีนเป็นสินค้าเรือธงให้แจ้งเกิดทางการตลาดก่อน ล่าสุดได้เปิดเวปไซต์ www.soypeptide.org ภายในเวปไซต์จะมีการอ้างอิงการวิจัยและวิชาการ เพื่อป้อนข้อมูลและความรู้ที่เข้าใจง่ายๆ ให้แก่ผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสินค้าเรียล ฟังก์ชันนัล จึงต้องเอทดูเคทเป็นหลัก โดยเตรียมทุ่มงบ 400 ล้านบาท สำหรับการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัลของบริษัทโดยเฉพาะ
สภาวะตลาดเรียล ฟังก์ชันนัล ถือว่าเป็นตลาดที่ใหม่มากสำหรับคนไทย และโอสถสภานับว่ารายแรกๆ ที่เปิดตัวสินค้าดังกล่าว ซึ่งโดยมากสินค้าที่อยู่ในตลาดจะเป็นลักษณะอีโมชันนัลมากกว่า ทั้งนี้ในปีแรกบริษัทตั้งเป้ายอดขายเปปทีน 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวสินค้าภายใต้แบรนด์ใหม่ 1 รายการ
ปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มมีสัดส่วนรายได้ 60% โดยมาจากกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังเป็นหลัก อาทิ M-150 ฉลาม ลิโพ ส่วนของไบท์ แบงค็อก ได้แก่ แฮงค์ ชาร์ค จูนอัพ และ เปปทีน เป็นต้น ซึ่งหลังจากเปิดตัวหน่วยงานดังกล่าวจะผลักดันให้สัดส่วนรายได้เครื่องดื่มเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ส่วนอุปโภคสัดส่วนรายได้ 30% อาทิ เบบี้ มายด์ ทเวลฟ์พลัส และที่เหลือคือ ยา 5-6% อาทิ ทัมใจ ยาอมโบตัน อุทัยทิพย์ เป็นต้น โดยผลประกอบการปี 2550 หรือรอบบัญชีเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2551 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 20,000 ล้านบาท
นายยอดมิตร ทองยงค์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง M-150 เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทตั้งหน่วยงานการตลาดใหม่ขึ้นมา คือ ฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล เพื่อดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและเรียลฟังก์ชันนัล ซึ่งเป็นธุรกิจขาใหม่ที่เข้ามาช่วยผลักดันให้กลุ่มเครื่องดื่มมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ล่าสุดเพื่อให้เกิดความชัดเจนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัท ได้โยกเครื่องดื่มเปปทีนจากกลุ่มไบท์แบงค็อก ซึ่งเน้นผลิตสินค้าเจาะตลาดนิชมาร์เก็ต มาอยู่ในฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล
“การทำตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัลมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับเครื่องดื่มชูกำลัง ขณะที่กลุ่มเป้าหมายก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องโยกเปปทีนมาไว้ที่หน่วยงานดังกล่าว”
สำหรับการทำตลาดฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัล บริษัทจะมุ่งเน้นเปปทีนเป็นสินค้าเรือธงให้แจ้งเกิดทางการตลาดก่อน ล่าสุดได้เปิดเวปไซต์ www.soypeptide.org ภายในเวปไซต์จะมีการอ้างอิงการวิจัยและวิชาการ เพื่อป้อนข้อมูลและความรู้ที่เข้าใจง่ายๆ ให้แก่ผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสินค้าเรียล ฟังก์ชันนัล จึงต้องเอทดูเคทเป็นหลัก โดยเตรียมทุ่มงบ 400 ล้านบาท สำหรับการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเสริมสุขภาพและฟังก์ชันนัลของบริษัทโดยเฉพาะ
สภาวะตลาดเรียล ฟังก์ชันนัล ถือว่าเป็นตลาดที่ใหม่มากสำหรับคนไทย และโอสถสภานับว่ารายแรกๆ ที่เปิดตัวสินค้าดังกล่าว ซึ่งโดยมากสินค้าที่อยู่ในตลาดจะเป็นลักษณะอีโมชันนัลมากกว่า ทั้งนี้ในปีแรกบริษัทตั้งเป้ายอดขายเปปทีน 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวสินค้าภายใต้แบรนด์ใหม่ 1 รายการ
ปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มมีสัดส่วนรายได้ 60% โดยมาจากกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังเป็นหลัก อาทิ M-150 ฉลาม ลิโพ ส่วนของไบท์ แบงค็อก ได้แก่ แฮงค์ ชาร์ค จูนอัพ และ เปปทีน เป็นต้น ซึ่งหลังจากเปิดตัวหน่วยงานดังกล่าวจะผลักดันให้สัดส่วนรายได้เครื่องดื่มเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ส่วนอุปโภคสัดส่วนรายได้ 30% อาทิ เบบี้ มายด์ ทเวลฟ์พลัส และที่เหลือคือ ยา 5-6% อาทิ ทัมใจ ยาอมโบตัน อุทัยทิพย์ เป็นต้น โดยผลประกอบการปี 2550 หรือรอบบัญชีเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2551 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 20,000 ล้านบาท