สลัมเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแทบทุกประเทศที่มีเมืองใหญ่ และเพราะปรากฏอยู่ในเมืองใหญ่นี้เอง สลัมจึงบอกอะไรแก่สังคมได้เลาๆ ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสลัมหากไม่ใช่คนที่อยู่ในเมืองใหญ่เมืองนั้นมาแต่เดิม ก็ต้องเป็นคนนอกพื้นที่ที่เข้ามาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองใหญ่
แต่เพราะความด้อยโอกาสในหลายๆ เรื่องของคนในสลัม โดยเฉพาะการศึกษา การแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ของคนเหล่านี้จึงไม่สู้จะประสบความสำเร็จมากนัก และต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายต่อการทำให้คุณภาพชีวิตเสื่อมลง
สภาพแวดล้อมที่ว่านี้ไม่ได้หมายความเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ทรุดโทรมและชวนอึดอัดเท่านั้น หากยังหมายรวมไปถึงอะไรอีกหลายอย่างที่แย่พอๆ กับที่อยู่อาศัยเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ เสียงที่ไม่ชวนรื่นหู หรือแม้แต่อาชญากรรมตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ ฯลฯ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสภาพที่ว่า
ด้วยเหตุนี้ คนที่อยู่ในสลัมหากประคองชีวิตของตนภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นว่าไปไม่ได้ โอกาสที่จะมีชีวิตอันสดใสก็ยาก ส่วนคนที่ประคองมาได้ย่อมต้องนับเป็นคนที่แกร่งกร้านต่อโลกพอสมควร มีไม่น้อยในหมู่คนเหล่านี้สามารถสลัดตนออกมาจากสลัมได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ก็เป็นส่วนน้อยอย่างยิ่ง
โดยสรุปแล้ว สลัมเป็นปรากฏการณ์ที่สวนทางกับการเจริญเติบโตของเมืองใหญ่ จนทำให้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีชีวิตที่ดีกว่าจำนวนหนึ่งเห็นว่าสลัมเป็นตัวถ่วงภาพลักษณ์เยี่ยงเทวดาของตน และเป็นดัชนีชี้วัดความล้มเหลวของเมือง เมืองที่ซึ่งไม่ควรมีอะไรมาแปดเปื้อนความศิวิไลซ์
และเมื่อคนกลุ่มนี้ก้าวขึ้นมามีอำนาจ สลัมจึงเป็นอะไรที่น่ารังเกียจ และเป็นอะไรที่ควรขจัดออกไปจากเมือง ซึ่งหากทำได้สำเร็จ คนที่มีอำนาจคนนั้นก็จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการทำให้เมืองเจริญขึ้น สมกับที่เป็นที่อยู่ของ “เทวดา” อย่างแท้จริง
ความพยายามที่จะขจัดสลัมออกไปจากเมืองจึงอยู่ในความคิดของผู้มีอำนาจเหล่านี้เสมอ และเป็นความคิดที่มีมานานแล้ว นานพอๆ กับที่เริ่มเกิดสลัมเลยก็ว่าได้
แต่ในโลกปัจจุบันที่ผู้นำประเทศต้องถูกกำหนดให้เคารพเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น กลับไม่ง่ายที่จะทำให้ความคิดของตนเป็นจริงขึ้นมาได้ และทำให้สลัมดำรงอยู่ในเมืองใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ จะมียกเว้นก็แต่ผู้นำในประเทศที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ว่าเท่านั้น ที่สามารถกำจัดสลัมออกไปจากเมืองใหญ่ได้
กล่าวกันว่า ปารีสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีผังเมืองดีที่สุดและสวยที่สุดเมืองหนึ่งของโลกนั้น ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ได้ ผู้นำของเมืองนี้เมื่อนับร้อยปีก่อนต้องใช้กองทหารจำนวนมากเดิน “ตะลุย” บ้านเรือนของชาวปารีสจนราบคาบ ไม่ต่างกับที่ญี่ปุ่นโดนระเบิดปรมาณูเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 จะต่างก็แต่เพียงชาวปารีสไม่ได้ตายเป็นเบือเท่าญี่ปุ่น แต่ที่รอดชีวิตมาได้นั้น ต้องเจ็บปวดมากกว่าคนญี่ปุ่นเป็นไหนๆ เพราะตนถูกกวาดล้างโดยคนชาติเดียวกัน
เมื่อราบคาบเป็นหน้ากองแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นอักโข จากนั้นมาปารีสก็ถูกแปลงโฉมจนงดงามเป็นที่เลื่องลือมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ควรกล่าวด้วยก็คือว่า ที่ผู้นำฝรั่งเศสในเวลานั้นสามารถทำได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโลกของเรายังไม่มีเรื่องสิทธิมนุษยชนมารังควานใจเหล่าผู้นำ
ที่สำคัญคือ เวลานั้นเมืองใหญ่ของโลกต่างก็มีบ้านเรือนเล็กๆ ธรรมดาๆ อยู่ตรงใจกลางเมืองแทบจะทุกเมือง (รวมทั้งลอนดอนด้วย) และมีสภาพไม่ต่างกับสลัมดังที่เห็นในทุกวันนี้ ชั่วอยู่แต่เวลานั้นคำว่า “สลัม” ยังไม่เกิดเท่านั้น ดังนั้น ผู้นำที่ทำการกวาดล้างบ้านเรือนของชาวบ้านออกไปจึงไม่ต้องกังวลใจว่าตนกำลังกวาดล้าง “สลัม” และไม่ต้องกังวลใจเรื่องสิทธิมนุษยชน
การที่โลกเราทุกวันนี้มีประเด็นสิทธิมนุษยชนให้ถูกจับตามอง มันจึงไม่ง่ายสำหรับผู้นำที่คิดจะกวาดล้างสลัมออกไปจากเมือง และยิ่งยากขึ้นเมื่อชนชั้นกลางในเมืองเองที่ถือกันว่ามีพลังในทางการเมืองก็มีจริตในเรื่องนี้ด้วย (ที่ว่าเป็นจริตก็เพราะมีบ่อยครั้งที่ชนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยแสดงความรังเกียจสลัมด้วย) เพราะดีไม่ดีผู้นำคนนั้นอาจถูกชนชั้นกลางประณามเอาได้ง่ายๆ
ผู้นำที่คิดจะขจัดสลัมออกไปจากเมืองจึงต้องหาเหตุผลที่ฟังดูดี และเป็นที่ยอมรับของหลายฝ่ายให้ได้ โดยเฉพาะชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง และถ้าทำให้ชาวสลัมยอมรับได้ด้วยก็ยิ่งดี
ว่าแต่ว่า ประเด็นอะไรล่ะที่จะฟังดูดีขนาดนั้น?
แต่แล้วนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ยกเอาเรื่องการสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะกวาดล้างสลัมออกไปจากกรุงเทพฯ อันที่จริงข้ออ้างนี้ถูกอ้างมานานก่อน คุณสมัคร เสียอีก แต่ที่ฟังดูดีในตอนนี้ก็เพราะพื้นที่สีเขียวมีความสัมพันธ์กับปัญหาโลกร้อนที่กำลังเป็นกระแสเข้าพอดี
พูดง่ายๆ คือ ยิ่งมี “สีเขียว” มากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้ “โลกร้อน” น้อยลงมากเท่านั้น ฉะนั้น ใครทำให้กรุงเทพฯ “เขียว” ขึ้นมาได้ ก็ย่อมถือเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์
ถึงกระนั้นก็ตาม ผมคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าคนกรุงเทพฯ จะเอาด้วยกับ คุณสมัคร เพียงเพราะเหตุผลตื้นๆ ขนาดนั้น เพราะคนที่น่าเอาด้วยกับ คุณสมัคร ก็คือชนชั้นกลางนั้น ตอนนี้ก็เห็นอยู่โทนโท่ว่ากำลังไม่เอา คุณสมัคร ในเรื่องการเมือง ครั้นจะคิดถึงชนชั้นล่างที่เอาด้วยกับ คุณสมัคร ก็กลับกลายเป็นว่า จำนวนมากของคนกลุ่มนี้คือผู้ที่อาศัยอยู่ในสลัมเสียอีก
เรื่องชนชั้นกลางไม่เอาด้วยนั้นพอฟันธงได้ แต่เรื่องที่ผมไม่กล้าฟันธงก็คือ ชนชั้นล่าง
ที่ไม่กล้าก็เพราะหากว่ากันเฉพาะที่เป็นชาวสลัมแล้ว เป็นที่รู้กันว่าส่วนใหญ่ก็คือคะแนนเสียงของรัฐบาลในขณะนี้ และฐานเสียงที่ใหญ่ฐานหนึ่งก็อยู่ที่สลัมคลองเตย (ซึ่งเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุด) เป็นฐานเสียงที่มีหัวคะแนนที่เข้มแข็ง และอยู่เคียงข้างรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยยังไม่ถูกยุบ และก็ยังคงเหนียวแน่นแข็งขันมาจนถึงทุกวันนี้ ผมจึงไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริงแล้วชาวสลัมจะเอาด้วยกับ คุณสมัคร หรือไม่
ถ้าเอาด้วยต่อไปชาวสลัมก็อาจจะได้รับการยกย่องจากคนเมืองว่าเป็นผู้เสียสละ เหมือนกับที่ชาวบ้านเขื่อนปากมูนและที่อื่นๆ เคยได้รับ ส่วนผลบั้นปลายเป็นยังไง เป็นอีกเรื่อง
ที่สำคัญคือ หากเอาด้วยจริง ก็ต้องนับว่า คุณสมัคร เข้าใจเล่น เพราะโอกาสงามๆ อย่างนี้หาไม่ได้ง่ายนักสำหรับนายกฯ (หรือผู้ว่าฯ กทม.) คนอื่นๆ ที่แต่ไหนแต่ไรมาต่างก็จ้องจะกวาดล้างสลัมให้ได้ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองตาปริบๆ ด้วยความมันเขี้ยว หมั่นไส้ และรังเกียจ
แต่ถ้าไม่เอาด้วย ผมก็คงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า คะแนนเสียงของ คุณสมัคร และอดีตพรรคไทยรักไทยจะหายไปอีกมากอักโข (หลังจากที่หายให้กับพฤติกรรมของ คุณทักษิณ ชินวัตร ไปมากแล้ว)
และดีไม่ดีชาวสลัมเหล่านี้อาจเดินทางไปพึ่งพลังของกลุ่มพันธมิตรฯ เหมือนกับที่นักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะที่กำลังถูก คุณสมัคร ไล่ที่เพื่อสร้างอาคารรัฐสภา จนทำให้พันธมิตรฯ ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้นไปด้วย
แต่ไม่ว่าการกวาดล้างสลัมครั้งนี้ของ คุณสมัคร จะได้รับการสนับสนุนหรือต่อต้านนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับผมมากไปกว่าคำถามที่ว่า การกวาดล้างสลัมเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวครั้งนี้เกิดบนฐานคิดอะไร?
เพราะแค่แก่งเสือเต้นที่ คุณสมัคร กระเหี้ยนกระหือรือจะสร้างเขื่อน (ซึ่งต้องทำลายสีเขียวเป็นจำนวนมาก) ให้ได้นั้น คุณสมัคร ยังเห็นว่ามีไม้สักแค่ไม่กี่ต้นกับนกยูงโง่ๆ ไม่กี่ตัว แล้วคนแบบนี้น่ะหรือที่จะคิดถึงพื้นที่สีเขียว ไม่กล้วยทอดไปหน่อยหรือครับ...?
ถึงตรงนี้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องถามว่า คุณสมัคร จะทำสำเร็จหรือไม่อีกต่อไป แต่ไพล่นึกไปถึงว่า ถ้าสำเร็จแล้ว พื้นที่สีเขียวที่เข้ามาแทนที่นั้นจะเป็นสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้าล้วนๆ หรือมีอาคารเชิงธุรกิจผุดแทรกขึ้นมาด้วย (อย่างหลังนี้ทำให้คิดถึงหอศิลป์ของกรุงเทพฯ ที่น่าจะสำคัญแก่เมืองพอๆ กับพื้นที่สีเขียว ที่สู้อุตส่าห์รอดตัวมาได้โดยไม่กลายเป็นห้างสรรพสินค้า...ฮา)
ทั้งนี้ยังมิพักต้องนึกถึงว่า ชาวสลัมที่ถูกกวาดล้างออกไปนั้นจะไปอยู่ที่ไหน...? ครับ...นึกขึ้นมาแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าโลกมันร้อนขึ้นยังไงก็ไม่รู้ (ไม่ฮา)
แต่เพราะความด้อยโอกาสในหลายๆ เรื่องของคนในสลัม โดยเฉพาะการศึกษา การแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ของคนเหล่านี้จึงไม่สู้จะประสบความสำเร็จมากนัก และต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายต่อการทำให้คุณภาพชีวิตเสื่อมลง
สภาพแวดล้อมที่ว่านี้ไม่ได้หมายความเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ทรุดโทรมและชวนอึดอัดเท่านั้น หากยังหมายรวมไปถึงอะไรอีกหลายอย่างที่แย่พอๆ กับที่อยู่อาศัยเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ เสียงที่ไม่ชวนรื่นหู หรือแม้แต่อาชญากรรมตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ ฯลฯ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสภาพที่ว่า
ด้วยเหตุนี้ คนที่อยู่ในสลัมหากประคองชีวิตของตนภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นว่าไปไม่ได้ โอกาสที่จะมีชีวิตอันสดใสก็ยาก ส่วนคนที่ประคองมาได้ย่อมต้องนับเป็นคนที่แกร่งกร้านต่อโลกพอสมควร มีไม่น้อยในหมู่คนเหล่านี้สามารถสลัดตนออกมาจากสลัมได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ก็เป็นส่วนน้อยอย่างยิ่ง
โดยสรุปแล้ว สลัมเป็นปรากฏการณ์ที่สวนทางกับการเจริญเติบโตของเมืองใหญ่ จนทำให้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีชีวิตที่ดีกว่าจำนวนหนึ่งเห็นว่าสลัมเป็นตัวถ่วงภาพลักษณ์เยี่ยงเทวดาของตน และเป็นดัชนีชี้วัดความล้มเหลวของเมือง เมืองที่ซึ่งไม่ควรมีอะไรมาแปดเปื้อนความศิวิไลซ์
และเมื่อคนกลุ่มนี้ก้าวขึ้นมามีอำนาจ สลัมจึงเป็นอะไรที่น่ารังเกียจ และเป็นอะไรที่ควรขจัดออกไปจากเมือง ซึ่งหากทำได้สำเร็จ คนที่มีอำนาจคนนั้นก็จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการทำให้เมืองเจริญขึ้น สมกับที่เป็นที่อยู่ของ “เทวดา” อย่างแท้จริง
ความพยายามที่จะขจัดสลัมออกไปจากเมืองจึงอยู่ในความคิดของผู้มีอำนาจเหล่านี้เสมอ และเป็นความคิดที่มีมานานแล้ว นานพอๆ กับที่เริ่มเกิดสลัมเลยก็ว่าได้
แต่ในโลกปัจจุบันที่ผู้นำประเทศต้องถูกกำหนดให้เคารพเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น กลับไม่ง่ายที่จะทำให้ความคิดของตนเป็นจริงขึ้นมาได้ และทำให้สลัมดำรงอยู่ในเมืองใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ จะมียกเว้นก็แต่ผู้นำในประเทศที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ว่าเท่านั้น ที่สามารถกำจัดสลัมออกไปจากเมืองใหญ่ได้
กล่าวกันว่า ปารีสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีผังเมืองดีที่สุดและสวยที่สุดเมืองหนึ่งของโลกนั้น ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ได้ ผู้นำของเมืองนี้เมื่อนับร้อยปีก่อนต้องใช้กองทหารจำนวนมากเดิน “ตะลุย” บ้านเรือนของชาวปารีสจนราบคาบ ไม่ต่างกับที่ญี่ปุ่นโดนระเบิดปรมาณูเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 จะต่างก็แต่เพียงชาวปารีสไม่ได้ตายเป็นเบือเท่าญี่ปุ่น แต่ที่รอดชีวิตมาได้นั้น ต้องเจ็บปวดมากกว่าคนญี่ปุ่นเป็นไหนๆ เพราะตนถูกกวาดล้างโดยคนชาติเดียวกัน
เมื่อราบคาบเป็นหน้ากองแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นอักโข จากนั้นมาปารีสก็ถูกแปลงโฉมจนงดงามเป็นที่เลื่องลือมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ควรกล่าวด้วยก็คือว่า ที่ผู้นำฝรั่งเศสในเวลานั้นสามารถทำได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโลกของเรายังไม่มีเรื่องสิทธิมนุษยชนมารังควานใจเหล่าผู้นำ
ที่สำคัญคือ เวลานั้นเมืองใหญ่ของโลกต่างก็มีบ้านเรือนเล็กๆ ธรรมดาๆ อยู่ตรงใจกลางเมืองแทบจะทุกเมือง (รวมทั้งลอนดอนด้วย) และมีสภาพไม่ต่างกับสลัมดังที่เห็นในทุกวันนี้ ชั่วอยู่แต่เวลานั้นคำว่า “สลัม” ยังไม่เกิดเท่านั้น ดังนั้น ผู้นำที่ทำการกวาดล้างบ้านเรือนของชาวบ้านออกไปจึงไม่ต้องกังวลใจว่าตนกำลังกวาดล้าง “สลัม” และไม่ต้องกังวลใจเรื่องสิทธิมนุษยชน
การที่โลกเราทุกวันนี้มีประเด็นสิทธิมนุษยชนให้ถูกจับตามอง มันจึงไม่ง่ายสำหรับผู้นำที่คิดจะกวาดล้างสลัมออกไปจากเมือง และยิ่งยากขึ้นเมื่อชนชั้นกลางในเมืองเองที่ถือกันว่ามีพลังในทางการเมืองก็มีจริตในเรื่องนี้ด้วย (ที่ว่าเป็นจริตก็เพราะมีบ่อยครั้งที่ชนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยแสดงความรังเกียจสลัมด้วย) เพราะดีไม่ดีผู้นำคนนั้นอาจถูกชนชั้นกลางประณามเอาได้ง่ายๆ
ผู้นำที่คิดจะขจัดสลัมออกไปจากเมืองจึงต้องหาเหตุผลที่ฟังดูดี และเป็นที่ยอมรับของหลายฝ่ายให้ได้ โดยเฉพาะชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง และถ้าทำให้ชาวสลัมยอมรับได้ด้วยก็ยิ่งดี
ว่าแต่ว่า ประเด็นอะไรล่ะที่จะฟังดูดีขนาดนั้น?
แต่แล้วนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ยกเอาเรื่องการสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะกวาดล้างสลัมออกไปจากกรุงเทพฯ อันที่จริงข้ออ้างนี้ถูกอ้างมานานก่อน คุณสมัคร เสียอีก แต่ที่ฟังดูดีในตอนนี้ก็เพราะพื้นที่สีเขียวมีความสัมพันธ์กับปัญหาโลกร้อนที่กำลังเป็นกระแสเข้าพอดี
พูดง่ายๆ คือ ยิ่งมี “สีเขียว” มากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้ “โลกร้อน” น้อยลงมากเท่านั้น ฉะนั้น ใครทำให้กรุงเทพฯ “เขียว” ขึ้นมาได้ ก็ย่อมถือเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์
ถึงกระนั้นก็ตาม ผมคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าคนกรุงเทพฯ จะเอาด้วยกับ คุณสมัคร เพียงเพราะเหตุผลตื้นๆ ขนาดนั้น เพราะคนที่น่าเอาด้วยกับ คุณสมัคร ก็คือชนชั้นกลางนั้น ตอนนี้ก็เห็นอยู่โทนโท่ว่ากำลังไม่เอา คุณสมัคร ในเรื่องการเมือง ครั้นจะคิดถึงชนชั้นล่างที่เอาด้วยกับ คุณสมัคร ก็กลับกลายเป็นว่า จำนวนมากของคนกลุ่มนี้คือผู้ที่อาศัยอยู่ในสลัมเสียอีก
เรื่องชนชั้นกลางไม่เอาด้วยนั้นพอฟันธงได้ แต่เรื่องที่ผมไม่กล้าฟันธงก็คือ ชนชั้นล่าง
ที่ไม่กล้าก็เพราะหากว่ากันเฉพาะที่เป็นชาวสลัมแล้ว เป็นที่รู้กันว่าส่วนใหญ่ก็คือคะแนนเสียงของรัฐบาลในขณะนี้ และฐานเสียงที่ใหญ่ฐานหนึ่งก็อยู่ที่สลัมคลองเตย (ซึ่งเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุด) เป็นฐานเสียงที่มีหัวคะแนนที่เข้มแข็ง และอยู่เคียงข้างรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยยังไม่ถูกยุบ และก็ยังคงเหนียวแน่นแข็งขันมาจนถึงทุกวันนี้ ผมจึงไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริงแล้วชาวสลัมจะเอาด้วยกับ คุณสมัคร หรือไม่
ถ้าเอาด้วยต่อไปชาวสลัมก็อาจจะได้รับการยกย่องจากคนเมืองว่าเป็นผู้เสียสละ เหมือนกับที่ชาวบ้านเขื่อนปากมูนและที่อื่นๆ เคยได้รับ ส่วนผลบั้นปลายเป็นยังไง เป็นอีกเรื่อง
ที่สำคัญคือ หากเอาด้วยจริง ก็ต้องนับว่า คุณสมัคร เข้าใจเล่น เพราะโอกาสงามๆ อย่างนี้หาไม่ได้ง่ายนักสำหรับนายกฯ (หรือผู้ว่าฯ กทม.) คนอื่นๆ ที่แต่ไหนแต่ไรมาต่างก็จ้องจะกวาดล้างสลัมให้ได้ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองตาปริบๆ ด้วยความมันเขี้ยว หมั่นไส้ และรังเกียจ
แต่ถ้าไม่เอาด้วย ผมก็คงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า คะแนนเสียงของ คุณสมัคร และอดีตพรรคไทยรักไทยจะหายไปอีกมากอักโข (หลังจากที่หายให้กับพฤติกรรมของ คุณทักษิณ ชินวัตร ไปมากแล้ว)
และดีไม่ดีชาวสลัมเหล่านี้อาจเดินทางไปพึ่งพลังของกลุ่มพันธมิตรฯ เหมือนกับที่นักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะที่กำลังถูก คุณสมัคร ไล่ที่เพื่อสร้างอาคารรัฐสภา จนทำให้พันธมิตรฯ ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้นไปด้วย
แต่ไม่ว่าการกวาดล้างสลัมครั้งนี้ของ คุณสมัคร จะได้รับการสนับสนุนหรือต่อต้านนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับผมมากไปกว่าคำถามที่ว่า การกวาดล้างสลัมเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวครั้งนี้เกิดบนฐานคิดอะไร?
เพราะแค่แก่งเสือเต้นที่ คุณสมัคร กระเหี้ยนกระหือรือจะสร้างเขื่อน (ซึ่งต้องทำลายสีเขียวเป็นจำนวนมาก) ให้ได้นั้น คุณสมัคร ยังเห็นว่ามีไม้สักแค่ไม่กี่ต้นกับนกยูงโง่ๆ ไม่กี่ตัว แล้วคนแบบนี้น่ะหรือที่จะคิดถึงพื้นที่สีเขียว ไม่กล้วยทอดไปหน่อยหรือครับ...?
ถึงตรงนี้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องถามว่า คุณสมัคร จะทำสำเร็จหรือไม่อีกต่อไป แต่ไพล่นึกไปถึงว่า ถ้าสำเร็จแล้ว พื้นที่สีเขียวที่เข้ามาแทนที่นั้นจะเป็นสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้าล้วนๆ หรือมีอาคารเชิงธุรกิจผุดแทรกขึ้นมาด้วย (อย่างหลังนี้ทำให้คิดถึงหอศิลป์ของกรุงเทพฯ ที่น่าจะสำคัญแก่เมืองพอๆ กับพื้นที่สีเขียว ที่สู้อุตส่าห์รอดตัวมาได้โดยไม่กลายเป็นห้างสรรพสินค้า...ฮา)
ทั้งนี้ยังมิพักต้องนึกถึงว่า ชาวสลัมที่ถูกกวาดล้างออกไปนั้นจะไปอยู่ที่ไหน...? ครับ...นึกขึ้นมาแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าโลกมันร้อนขึ้นยังไงก็ไม่รู้ (ไม่ฮา)