บ้านข่วงกอม ตั้งอยู่ที่ ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง
ความสำหรับของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สูง มีบริเวณติดกับอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนซึ่งเป็นพื้นที่เขตอนุรักษ์ ที่ถือได้ว่าเป็นต้นน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง และเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายหลักสำคัญๆ และแม่น้ำสาขาย่อยอื่นๆ ของประเทศที่ได้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยเป็นจำนวนมาก
ศีรวรรณ เกษดี อดีตผู้ใหญ่บ้าน ปัจจุบันเป็นผู้ประสานงานโครงการเคหะชนบทในหมู่บ้านข่วงกอม ให้ข้อมูลว่า จากการสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านพบว่ามีพื้นที่ทั้งหมด 3,947 ไร่ โดยมีประชาชนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน 126 หลังคาเรือน แบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 200 ไร่ พื้นที่เกษตรกรรม 492 ไร่ พื้นที่สันทนาการ 12 ไร่ และพื้นที่ป่า 3,243 ไร่ โดยในจำนวนพื้นที่ป่าทั้งหมดนี้พบว่ามีป่าเสื่อมโทรมอยู่ไม่น้อยที่ถูกทำลาย ฉะนั้น การที่จะให้ป่ากลับมาเหมือนเดิมได้ต้องมีการปลูกป่าเพื่อทดแทนขึ้น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชาวบ้านข่วงกอมจึงได้ร่วมมือกับภาครัฐเพื่อช่วยทำให้ผืนป่ากลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม โดยการจัดกิจกรรม “โครงการปลูกป่าสวนรุกขชาติ” ขึ้น โดยมีแกนนำ คือ การเคหะแห่งชาติ และ Mr. Pieter J. Th Marres เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ด้วยการนำพนักงาน เยาวชน และประชาชนในหมู่บ้าน ร่วมกันสานต่อเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา และมุ่งปลูกจิตสำนึกและหวงแหนผืนป่าต้นน้ำของประเทศ
ทนงศักดิ์ วิกูล รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน การเคหะแห่งชาติ ในฐานะภาคีให้ข้อมูลเสริมว่า เหตุที่เลือกพื้นที่บ้านข่วงกอมเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเนื่องจากเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กและเป็นพื้นที่ต่อเนื่องของเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนที่เป็นเขตอนุรักษ์ ที่มีป่าต้นน้ำที่คงความสมบูรณ์
“การปลูกป่าในพื้นที่บ้านข่วงกอมนั้นมีวัตถุประสงค์คือต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติมและเป็นการลดภาวะโลกร้อน โดยการจัดทำแผนที่พิกัดดาวเทียมขึ้นเพื่อสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้าน เพื่อสำรวจหาพื้นที่ป่าของส่วนรวม และเพื่อการจัดสรรพื้นที่ทับซ้อนให้เกิดความชัดเจน นอกจากนั้นการปลูกป่าในพื้นที่ชุมชนก็เพื่อต้องการปลูกต้นไม้ไว้ในใจคนให้ได้”
“ทั้งนี้ การปลูกป่าในพื้นที่กว่า 3,243 ไร่ครั้งนี้ เป็นการเน้นปลูกพืชเศรษฐกิจที่โตเร็ว เช่น ต้นกฤษณา ฯลฯ ซึ่งผลจากการดำเนินงานในพื้นที่บ้านข่วงกอม การเคหะแห่งชาติจะนำข้อมูลหมู่บ้านมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาและขยายผลต่อไปสู่ชุมชนใกล้เคียงในอนาคต”ทนงศักดิ์บอกเป้าหมาย
ขณะที่ “ชาย พานิชพรพันธุ์” รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ให้ข้อมูลในภาพรวมว่า ลำปางก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับทุกๆ แห่งในหลายๆ ที่ ซึ่งมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชนบท รวมทั้งการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่าล้วนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสภาพแวดล้อม
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องป่าไม้ เพราะป่าต้นน้ำลำธารหรือฝายต้นน้ำถูกทำลายลงไป
“การจะนำพาให้ทรัพยากรธรรมชาติเกิดความสมดุลได้นั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งในอนาคตความสมบูรณ์ต่างๆ เหล่านี้ก็จะกลับมาสู่พี่น้องประชาชนในสังคมชนบทจริงๆ บ้านข่วงกอมไม่ได้แร้นแค้นเพราะที่นี่เป็นต้นน้ำลำธาร มีอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนที่อุดมสมบูรณ์ในเรื่องป่าไม้ กิจกรรมที่จัดขึ้นนี้ถือว่าเป็นการส่งเสริมสิ่งที่ยังขาดโดยการต่อเติมให้เต็ม”รองผู้ว่าฯ ลำปางสรุป
ทีนี้..... ลองมาฟังนานาทัศนะของเยาวชนที่มีต่อการมาร่วมปลูกป่ากันบ้าง
อำพรรณ กล้าแข็ง หรือน้องแอ๋ว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเมืองปานวิทยา จังหวัดลำปาง เยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการครั้งนี้บอกว่า การปลูกป่าจะทำให้เกิดความร่มรื่น ช่วยเพิ่มทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่าจะได้มีที่อยู่อาศัยและอยากเห็นคนไทยหันมาสนใจร่วมกันปลูกป่าทดแทน
นอกจากการมาร่วมปลูกป่าในครั้งนี้แล้ว น้องแอ๋วยังบอกอีกว่า ตนได้เป็นสมาชิกของชมรมสวนพฤษศาสตร์การเรียนรู้ของทางโรงเรียนอีกด้วย
เช่นเดียวกับน้องตูน หรือนัญญารัตน์ อัคจร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเมืองปานวิทยา ที่ได้บอกเล่าถึงความรู้สึกว่า อยากจะให้ประเทศไทยมีการปลูกป่าเยอะๆ จะได้มีต้นไม้มากๆ บ้านเมืองเราจะได้ร่มเย็น อีกอย่างจะได้เป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย
สิ่งสำคัญ ป่าจะอุดมสมบูรณ์ได้นั้นส่วนหนึ่งมาจากการที่ทุกคนทำหน้าที่ร่วมกันในการพิทักษ์ รักษา ไม่ใช่เพียงการดูแลควบคุมโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกคนต้องร่วมกันสำนึกในผืนป่า