xs
xsm
sm
md
lg

PTTCHฟุ้งรายได้ปีนี้แตะแสนล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ปตท.เคมิคอลปรับเป้ารายได้ปีนี้รับเละเฉียด 1 แสนล้านบาท สวนทางกำไรที่ต่ำกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย หลังพบโครงการรายแห่งเลื่อนแล้วเสร็จออกไป ทำให้ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ยังดีอยู่ เว้น MEG ที่ราคาร่วงหนัก ผู้บริหารเผยรายได้จากโรงงานแครกเกอร์ที่มีกำหนดแล้วเสร็จไตรมาส 4/52 จะช่วยพยุงมาร์จินทดแทนราคาโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อที่ลดลง คาดการณ์รายได้ปี 51 ทะลุ 1.2 แสนล้านบาท พร้อมหาแหล่งเงินกู้ลงทุนขยายกิจการเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านบาท

นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ว่า บริษัทคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และแนฟธา (สเปรด) จะลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้กำไรต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 10,995 ล้านบาท สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ภาพรวมโอเลฟินส์ในปีนี้ยังดีอยู่ โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก HDPE ดูเหมือนจะขาดแคลน เนื่องจากโครงการใหม่ได้เลื่อนแล้วเสร็จจากปีนี้ไปเป็นปี 2552 แทน ส่งผลให้ปริมาณการผลิตและความต้องการใช้ใกล้เคียงกัน ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ไม่ปรับตัวลดลงแรง ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 99,700 ล้านบาท จากเดิม 95,000 ล้านบาท และจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 122,000 ล้านบาทในปี 2552
"ในครึ่งปีหลังนี้สเปรดผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) จะอ่อนตัวลงมาอีก เนื่องจากมีโรงงานแห่งใหม่ในซาอุดิอาระเบียที่จะผลิตในปลายปีนี้ ส่งผลให้ปีหน้าราคาMEG ยิ่งอ่อนตัวลง ส่วนโอลิโอเคมีในครึ่งปีหลังนี้ราคาจะอ่อนตัวลงมา เนื่องจากราคาวัตถุดิบซีพีโอปรับลดลง และกลีเซอร์มีแนวโน้มลดลง ทำให้มาร์จินลดลงแต่ไม่มาก ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกHDPE ในครึ่งปีหลังจะลงไม่มากนักยังอยู่ที่ 1,600-1,700 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะโรงงานใหม่เลื่อนแล้วเสร็จเป็นปี 2552 แทน"
สำหรับภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีในปี 51 นั้น พบว่าปริมาณการผลิต (ซัปพลาย) จะเกินความต้องการ (ดีมานด์) ค่อนข้างมาก ทำให้สเปรดแทบทุกผลิตภัณฑ์ลดลงจากปีนี้ เช่น ราคาโอเลฟินส์สเปรดจะลดลง 7% จากปีนี้ที่ 504 เหรียญสหรัฐ/ตัน สเปรดโมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) จาก 279 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลง 25% ส่วนสเปรดHDPE จาก 697 เหรียญสหรัฐ/ตัน ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโอลีโอเคมีที่มีสเปรดอยู่ที่ 356 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่งผลให้มาร์จินของบริษัทฯในปีหน้าลดลง แต่เนื่องจากบริษัทได้วางแผนกระจายความเสี่ยงความผันผวนด้านราคา ทำให้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 4/2552 บริษัทฯจะรับรู้รายได้จากโครงการเอทิลีนแครกเกอร์ 1 ล้านตัน เข้ามาชดเชยมาร์จินที่ลดลงไป
ขณะที่ราคาแนฟธา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในช่วงนี้ได้อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง คาดว่าราคาในช่วงครึ่งปีหลังไม่เกินตันละ 900 เหรียญสหรัฐจากเดิมที่เคยสูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงพ.ค.ที่ผ่านมา และปีหน้าราคาแนฟธาน่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 800-900 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนในปี 2554-2555 มีโครงการโอเลฟินส์หลายแห่งได้เลื่อนหรือยกเลิกโครงการไปทั้งที่ซาอุดิอาระเบีย จีน และการ์ต้า ส่งผลให้เอทิลีนหายไป 3.8 ล้านตัน ขณะเดียวกันก็มีโครงการแห่งใหม่ที่จีนและอินเดียว ซึ่งประกาศจะแล้วเสร็จในปีดังกล่าว คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 2 ล้านตัน จึงมองว่าน่าจะเป็นปีที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังดีอยู่
นายอดิเทพ กล่าวต่อไปว่า จากการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ของบริษัทฯ ทำให้สัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากเดิม 70-80%ของกำลังการผลิต เพิ่มป็น 85% ซึ่งจะรักษาสัดส่วนดังกล่าวไว้ เพราะราคาถูกกว่าแนฟธาที่มีราคาสูงอิงตามราคาน้ำมันดิบ แม้ว่าปตท.จะปรับราคาขายก๊าซธรรมชาติสูงกว่าเดิมให้บริษัทฯในเร็วๆนี้ แต่ก็เชื่อว่าต้นทุนราคาก๊าซฯที่ปตท.จะปรับขึ้นไม่มากเพียง 20%เมื่อเทียบกับราคาแนฟธาซึ่งขึ้นมาแล้ว 400%
"ปตท.ไม่ได้ปรับราคาขายก๊าซฯตามสูตรProfit Sharing กับบริษัทฯมานานร่วม 10ปี แม้ว่าราคาก๊าซฯและต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ขณะที่ราคาHDPEก็เพิ่มมาก ทำให้ที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับมาร์จินสูงเกินไป ซึ่งไม่สะท้อนความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง "
นางปนัดดา กนกวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บมจ.ปตท.เคมีคอล (PTTCH) กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมกู้เงินมาใช้ในการลงทุนขยายโครงการประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลังนี้ถึงปี 2552 โดยจะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศ 1 หมื่นล้านบาท และอีก 5 พันล้านบาทนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้ หรือเป็นการกู้เงิน ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดการเงินและการออกหุ้นกู้ของเครือปตท. ทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นจาก 0.2 เท่าเป็น 0.5 เท่า โดยที่ผ่านมา บริษัทฯได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นที่จะให้ก่อหนี้เพิ่มชึ้นวงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น