ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – ทุนท้องถิ่นเดินหน้าตั้งโรงกลั่นผลิตไบโอดีเซลแห่งแรกของภาคเหนือ กลุ่ม “อี-เอสเทอร์” เชื่อมั่นเริ่มผลิตป้อนตลาดได้ปีหน้า หลังสวนปาล์มในเครือข่ายเริ่มให้ผลผลิต ก่อนเดินเครื่องเต็มที่ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นไป พร้อมขายผ่านผู้ค้าทุกรายในราคาต่ำกว่าดีเซล 3 บาท/ลิตร
นายวิรุณ คำภิโล รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย,กรรมการผู้จัดการบริษัทอี-เอสเทอร์ จำกัด ที่ดำเนินการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลยี่ห้อวีเจ้น (V GEN=Valued Green Energy) เปิดเผย ว่า หลังจากบริษัทเปิดกิจการโรงกลั่นไบโอดีเซล ตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน เลขที่ 126 หมู่ 3 ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของภาคเหนือ ปัจจุบันบริษัทได้นำปาล์มเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซล จนใกล้จะนำออกสู่ตลาดได้แล้ว หลังจากที่ผลิตเพื่อทดลองใช้ในกิจการของบริษัท สถานศึกษาในสังกัด และชุมชนโดยรอบมานานหลายปี พบว่า ได้คุณภาพดีและไม่ส่งผลเสียต่อรถยนต์ที่ใช้เลย
ทั้งนี้ บริษัทได้จัดตั้งสหกรณ์ปาล์มน้ำมันล้านนา โดยร่วมกับชาวบ้านปลูกปาล์มได้แล้วกว่า 9,000 ไร่ ปัจจุบันปาล์มมีอายุได้ประมาณ 2 ปี และจะสามารถเก็บผลผลิตบางส่วน เพื่อนำไปทำไบโอดีเซลได้ตั้งแต่ปีที่ 3 และเก็บเต็มที่ได้ในปีที่ 4 ดังนั้น ในปี 2552 เป็นต้นไปบริษัทเชื่อว่าจะสามารถผลิตไบโอดีเซลจากผลผลิตล่วงหน้าได้ และจะเริ่มผลิตเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ทำให้คาดว่า จะมีผลผลิตสินค้าไบโอดีเซลออกจำหน่ายในพื้นที่เชียงราย – ภาคเหนือ ได้อย่างเต็มที่แน่นอน
นายวิรุณ บอกว่า ตามแผนงานของบริษัท ในปี 2552 น่าจะได้ผลผลิตปาล์มวันละ 3,000-4,000 กิโลกรัม ผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้วันละประมาณ 1,000 ลิตร (ปาล์มประมาณ 4 กิโลกรัมจะสามารถนำมากลั่นเป็นไบโอดีเซลได้ 1 ลิตร) ซึ่งเทคโนโลยีของโรงกลั่นสามารถให้น้ำมันไบโอดีเซลได้เลย 100% คุณภาพเหมือนน้ำมันดีเซลตามท้องตลาดทุกประการ คือ สามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์รอบสูงหรือรถยนต์ รถบรรทุก รถยนต์ทั่วไปได้ ไม่เฉพาะแต่เครื่องรอบต่ำเท่านั้น ซึ่งบริษัทการันตีในเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่หลังผ่านการทดลองมาแล้วอย่างต่ำ 2 ปี
จากนั้นในปีที่ 4 จะได้ผลผลิตมากกว่านี้ ทำให้โรงกลั่นสามารถผลิตไบโอดีเซลออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับลูกค้ารายใหญ่อาจจะเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยหรือ ปตท.หรือเอกชนทั่วไป ซึ่งจะเจรจากันต่อไป
“เบื้องต้นเราคงตั้งราคาขายให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลตามท้องตลาดลิตรละ 3 บาทเอาไว้ก่อน เพราะต้นทุนเราต่ำกว่า”
ทั้งนี้ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่เชียงราย – ภาคเหนือตอนบน เริ่มหันมาปลูกปาล์มกันมาก จนทำให้กล้าพันธุ์ในปีนี้ขาดตลาดอย่างหนัก จนมีการปรับราคากล้าพันธุ์จากปีกลายที่ขายกันที่ 70 บาท/ต้น เป็น 170 บาท/ต้น แต่เกษตรกรก็ยังไม่สามารถหาซื้อได้ตามความต้องการ