รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า ภายหลังจากที่นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส. สัดส่วน และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าชี้แจงกรณีร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาข้อเท็จจริง การทุจริตที่ จ.อุบลราชธานีของ กกต.ซึ่งหากกระทำผิดจริงตามคำร้องจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกส่งฟ้องยุบพรรคนั้น หลังจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ จะนัดประชุมอีกสองครั้งได้แก่วันที่ 18 ส.ค. และวันพุธที่ 20 ส.ค. และคาดว่าจะลงมติได้ในวันที่ 20 ส.ค. อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าว กกต. ได้เร่งทางอนุกรรมการฯ มาโดยตลอด และเราจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยจะสรุปเรื่องภายในสัปดาห์นี้
รายงานข่างแจ้วอีกว่ากรณีดังกล่าวเบื้องต้น มีคณะอนุกรรมการบางคน เห็นว่า กรณีนี้น่าจะยกคำร้องเนื่องจากการกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามเป็นการนำข้อมูลเก่า มาร้องโดยใช้เป็นหลักฐานตั้งแต่ปี 2518 จึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว นายวิฑูรย์ ไม่รู้เห็น และเป็นการกระทำของนายวิทวัส พันธ์นิกุล ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงหนังเนวาด้าเอง และผู้มาชี้แจงต่างก็ยืนยันว่า ช่วงมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ไม่ได้มีการกระทำดังกล่าวเลย และเห็นว่าเป็นการร้อง เพื่อกลั่นแกล้งเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการคนอื่นยังไม่มีความเห็น ในกรณีดังกล่าวออกมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการฯหนักใจอย่างมาก เพราะมีกระแสกดดันให้คณะอนุกรรมการต้องแจกใบแดงนายวิฑูรย์ และจะนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป แต่หากว่าคณะอนุกรรมการเห็นว่าไม่มีหลักฐานใดที่พอจะเชื่อมโยงได้ว่านายวิฑูรย์ เป็นผู้กระทำผิด และถึงแม้จะเป็นการกระทำของผู้สมัครคนอื่นก็ตามก็ต้องยกคำร้องไป นอกจากนี้กรณีดังกล่าวนายวิฑูรย์เป็น ส.ส. สัดส่วน ดังนั้นการพิจารณาทำได้เพียงยกคำร้องหรือแจกใบแดงเท่านั้น ไม่สามารถออกใบเหลืองได้
แต่ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าคณะอนุกรรมการอาจจะไม่ลงมติแต่จะทำสำเนา สรุปคำร้องคัดค้าน และคำชี้แจงประกอบกับข้อกฎหมายประกอบไปให้ กกต. พิจารณาเองว่าควรยกคำร้องหรือให้ใบแดง
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าขณะนี้กำลังมีความ พยายามสร้างกระแสกดดันเพื่อหวังผลให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ มีการสร้างเรื่อง บิดเบือนข้อกล่าวหาของนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จ.อุบลราชธานี เพื่อดึงพรรคเราเป็นตัวประกัน และมีความพยายามทำแบบนี้ มาแล้วทั้งที่ จ.พิจิตร และสมุทรสงคราม แต่ก็ไม่ได้ผล การออกมาพูดล่วงหน้าของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรค ถือเป็นการแทรกแซงการทำงาน ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้ไม่อาจตัดสินด้วยข้อเท็จจริง เป็นการพูดผิดมารยาท จึงอยากให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีหยุดกดดันแทรกแซง กกต. เพราะเรามั่นใจว่าคนของเราไม่ได้กระทำผิด และพร้อมยอมรับการตัดสินของกกต.อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะมั่นใจในหลักกระบวนการยุติธรรม
รายงานข่างแจ้วอีกว่ากรณีดังกล่าวเบื้องต้น มีคณะอนุกรรมการบางคน เห็นว่า กรณีนี้น่าจะยกคำร้องเนื่องจากการกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามเป็นการนำข้อมูลเก่า มาร้องโดยใช้เป็นหลักฐานตั้งแต่ปี 2518 จึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว นายวิฑูรย์ ไม่รู้เห็น และเป็นการกระทำของนายวิทวัส พันธ์นิกุล ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงหนังเนวาด้าเอง และผู้มาชี้แจงต่างก็ยืนยันว่า ช่วงมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ไม่ได้มีการกระทำดังกล่าวเลย และเห็นว่าเป็นการร้อง เพื่อกลั่นแกล้งเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการคนอื่นยังไม่มีความเห็น ในกรณีดังกล่าวออกมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการฯหนักใจอย่างมาก เพราะมีกระแสกดดันให้คณะอนุกรรมการต้องแจกใบแดงนายวิฑูรย์ และจะนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป แต่หากว่าคณะอนุกรรมการเห็นว่าไม่มีหลักฐานใดที่พอจะเชื่อมโยงได้ว่านายวิฑูรย์ เป็นผู้กระทำผิด และถึงแม้จะเป็นการกระทำของผู้สมัครคนอื่นก็ตามก็ต้องยกคำร้องไป นอกจากนี้กรณีดังกล่าวนายวิฑูรย์เป็น ส.ส. สัดส่วน ดังนั้นการพิจารณาทำได้เพียงยกคำร้องหรือแจกใบแดงเท่านั้น ไม่สามารถออกใบเหลืองได้
แต่ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าคณะอนุกรรมการอาจจะไม่ลงมติแต่จะทำสำเนา สรุปคำร้องคัดค้าน และคำชี้แจงประกอบกับข้อกฎหมายประกอบไปให้ กกต. พิจารณาเองว่าควรยกคำร้องหรือให้ใบแดง
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าขณะนี้กำลังมีความ พยายามสร้างกระแสกดดันเพื่อหวังผลให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ มีการสร้างเรื่อง บิดเบือนข้อกล่าวหาของนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จ.อุบลราชธานี เพื่อดึงพรรคเราเป็นตัวประกัน และมีความพยายามทำแบบนี้ มาแล้วทั้งที่ จ.พิจิตร และสมุทรสงคราม แต่ก็ไม่ได้ผล การออกมาพูดล่วงหน้าของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรค ถือเป็นการแทรกแซงการทำงาน ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้ไม่อาจตัดสินด้วยข้อเท็จจริง เป็นการพูดผิดมารยาท จึงอยากให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีหยุดกดดันแทรกแซง กกต. เพราะเรามั่นใจว่าคนของเราไม่ได้กระทำผิด และพร้อมยอมรับการตัดสินของกกต.อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะมั่นใจในหลักกระบวนการยุติธรรม