รอยเตอร์/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันในตลาดโลกดีดขึ้นไปเกือบ 3 ดอลลาร์เมื่อคืนวันพุธ(13) จากนั้นยังขยับต่อไปอีกวานนี้(14) ภายหลังการแถลงตัวเลขน้ำมันตามคลังเก็บทั่วสหรัฐฯซึ่งปรากฏว่าลดฮวบลงกว่าที่คาดหมายกันไว้มาก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เห็นว่าแนวโน้มราคายังคงอยู่ในช่วงขาลง
ในขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐฯ(เอฟทีซี) ก็เสนอระเบียบป้องกันการปั่นตลาดสร้างราคาน้ำมัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 147 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบาร์เรลเมื่อเดือนที่แล้ว
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ในตลาดค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์ก(ไนเม็กซ์)เมื่อวันพุธ ดีดขึ้น 2.99 ดอลลาร์ไปปิดที่ 116 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่แตะระดับต่ำสุดในรอบสามเดือนที่ 112.31 ดอลลาร์ไปในช่วงการค้าก่อนปิดตลาดเมื่อวันอังคาร(12) ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ที่ลอนดอนเพิ่มขึ้น 2.33 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 113.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อตอนปิดวันพุธด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ สำนักงานข้อมูลพลังงงานสหรัฐฯแถลงในวันพุธว่า ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่มีอยู่ตามคลังเก็บทั่วสหรัฐฯประจำสัปดาห์ล่าสุด ได้ลดลงไปถึง 6.4 ล้านบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการกลั่นที่ตกลงอย่างมาก ในขณะที่บรรดานักวิเคราะห์คาดกันว่าจะลดลงไปราว 2.1 ล้านบาร์เรลเท่านั้น ส่วนปริมาณน้ำมันดิบตามคลังเก็บก็ลดลงไป 400,000 บาร์เรล
การลดลงของปริมาณน้ำมันตามคลังเก็บนี้ ที่สำคัญมาจากการปิดแท่นขุดเจาะและโรงกลั่นในแถบอ่าวเม็กซิโก เพราะมีความวิตกกันในช่วงสัปดาห์นั้นว่า พายุโซนร้อนเอดูอาร์ด อาจสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างต่าง ๆ แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามที่วิตกแต่อย่างใด
เวลาต่อมา ในการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์วานนี้ เมื่อถึงเวลา 11.29 น.จีเอ็มที (18.29 น.เวลาเมืองไทย) น้ำมันดิบไลต์สวีตครูดได้ขยับขึ้นอีก 45 เซ็นต์ เป็น 116.45 ดอลลาร์ กระนั้นก็ต่ำลงจากที่ขึ้นไปจนถึง 117.42 ดอลลาร์ในช่วงการซื้อขายก่อนหน้านั้นของวันเดียวกัน ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ก็เพิ่มขึ้น 48 เซ็นต์ อยู่ที่ 113.95 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์พากันเห็นว่าการดีดขึ้นของราคาน้ำมันนี้เป็นปฏิกิริยาต่อตัวเลขที่ออกมาเท่านั้น แต่แนวโน้มในระยะปานกลางน่าจะเป็นว่าราคาจะลดลงไปอีก เพราะความต้องการใช้ในสหรัฐฯรวมทั้งประเทศผู้ใช้รายใหญ่อื่น ๆก็เริ่มชะลอตัว มาจากปัจจัยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นมากทำให้ต้องหันมาประหยัดกัน
ในสหรัฐฯ ความต้องการใช้น้ำมันได้ลดลงมาเฉลี่ย 800,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2008 ซึ่งเป็นการลดฮวบมากที่สุดในรอบ 26 ปีเลยทีเดียว นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงหน้าร้อน ก็เป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันนำรถออกไปขับขี่ลดลง 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ขณะเดียวกันก็ลดเที่ยวการเดินทางลงไปอีกด้วย
"ความกังวลในวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นได้ลุกลามออกไป และฉุดให้เศรษฐกิจยุโรปและเอเชียชะลอลงด้วย ซึ่งน่าจะกดให้ราคาน้ำมันลดลงไปอีก เพราะประเด็นเรื่อง ปริมาณซัปพลายในตลาด กลับลดความสำคัญลงไปมาก" วิคเตอร์ ชุม แห่งเพอร์วิน และเกิร์ตซ์ ในสิงคโปร์กล่าว
ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศขนาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ฉุดให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันพวกนักค้าตราสารก็พากันมุ่งสู่ตลาดโภคภัณฑ์ เพราะการลงทุนในโภคภัณฑ์เหล่านี้ทั้งทองและน้ำมันจะประกันความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีนี้มา
**เสนอระเบียบเล่นงานพวกปั่นราคา**
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลัง ๆ ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะมีการเก็งกำไรปั่นตลาดสร้างราคาน้ำมันขึ้น ทำให้ทางการสหรัฐฯตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้จัดการกับเรื่องดังกล่าว
คณะกรรมธิการการค้าของสหรัฐฯ (เอฟทีซี) เมื่อวันพุธได้นำเสนอระเบียบควบคุมพฤติกรรมการปั่นตลาดสร้างราคาดังกล่าว โดยจะให้อำนาจแก่คณะกรรมการตรวจสอบตลาดฟิวเจอร์ส และตลาดซื้อขายน้ำมันที่มีการส่งมอบกันจริง ๆ เพื่อป้องกันการฉ้อโกง, หลอกลวงในการซื้อขายน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่น ๆ
ภายใต้ระเบียบที่เสนอไปนี้ การฉ้อโกงหรือหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นการรายงานที่จงใจให้ผิดพลาดหรือจูงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องการกลั่น ท่อน้ำมัน หรือกิจกรรมของวาณิชธนกิจทั้งหลายในตลาดนี้ จะถูกลงโทษ ซึ่งอาจจะถูกปรับ 1 ล้านดอลลาร์ต่อวันที่ได้ละเมิดระเบียบนี้ไป
ในขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐฯ(เอฟทีซี) ก็เสนอระเบียบป้องกันการปั่นตลาดสร้างราคาน้ำมัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 147 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบาร์เรลเมื่อเดือนที่แล้ว
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ในตลาดค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์ก(ไนเม็กซ์)เมื่อวันพุธ ดีดขึ้น 2.99 ดอลลาร์ไปปิดที่ 116 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่แตะระดับต่ำสุดในรอบสามเดือนที่ 112.31 ดอลลาร์ไปในช่วงการค้าก่อนปิดตลาดเมื่อวันอังคาร(12) ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ที่ลอนดอนเพิ่มขึ้น 2.33 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 113.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อตอนปิดวันพุธด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ สำนักงานข้อมูลพลังงงานสหรัฐฯแถลงในวันพุธว่า ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่มีอยู่ตามคลังเก็บทั่วสหรัฐฯประจำสัปดาห์ล่าสุด ได้ลดลงไปถึง 6.4 ล้านบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการกลั่นที่ตกลงอย่างมาก ในขณะที่บรรดานักวิเคราะห์คาดกันว่าจะลดลงไปราว 2.1 ล้านบาร์เรลเท่านั้น ส่วนปริมาณน้ำมันดิบตามคลังเก็บก็ลดลงไป 400,000 บาร์เรล
การลดลงของปริมาณน้ำมันตามคลังเก็บนี้ ที่สำคัญมาจากการปิดแท่นขุดเจาะและโรงกลั่นในแถบอ่าวเม็กซิโก เพราะมีความวิตกกันในช่วงสัปดาห์นั้นว่า พายุโซนร้อนเอดูอาร์ด อาจสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างต่าง ๆ แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามที่วิตกแต่อย่างใด
เวลาต่อมา ในการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์วานนี้ เมื่อถึงเวลา 11.29 น.จีเอ็มที (18.29 น.เวลาเมืองไทย) น้ำมันดิบไลต์สวีตครูดได้ขยับขึ้นอีก 45 เซ็นต์ เป็น 116.45 ดอลลาร์ กระนั้นก็ต่ำลงจากที่ขึ้นไปจนถึง 117.42 ดอลลาร์ในช่วงการซื้อขายก่อนหน้านั้นของวันเดียวกัน ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ก็เพิ่มขึ้น 48 เซ็นต์ อยู่ที่ 113.95 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์พากันเห็นว่าการดีดขึ้นของราคาน้ำมันนี้เป็นปฏิกิริยาต่อตัวเลขที่ออกมาเท่านั้น แต่แนวโน้มในระยะปานกลางน่าจะเป็นว่าราคาจะลดลงไปอีก เพราะความต้องการใช้ในสหรัฐฯรวมทั้งประเทศผู้ใช้รายใหญ่อื่น ๆก็เริ่มชะลอตัว มาจากปัจจัยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นมากทำให้ต้องหันมาประหยัดกัน
ในสหรัฐฯ ความต้องการใช้น้ำมันได้ลดลงมาเฉลี่ย 800,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2008 ซึ่งเป็นการลดฮวบมากที่สุดในรอบ 26 ปีเลยทีเดียว นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงหน้าร้อน ก็เป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันนำรถออกไปขับขี่ลดลง 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ขณะเดียวกันก็ลดเที่ยวการเดินทางลงไปอีกด้วย
"ความกังวลในวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นได้ลุกลามออกไป และฉุดให้เศรษฐกิจยุโรปและเอเชียชะลอลงด้วย ซึ่งน่าจะกดให้ราคาน้ำมันลดลงไปอีก เพราะประเด็นเรื่อง ปริมาณซัปพลายในตลาด กลับลดความสำคัญลงไปมาก" วิคเตอร์ ชุม แห่งเพอร์วิน และเกิร์ตซ์ ในสิงคโปร์กล่าว
ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศขนาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ฉุดให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันพวกนักค้าตราสารก็พากันมุ่งสู่ตลาดโภคภัณฑ์ เพราะการลงทุนในโภคภัณฑ์เหล่านี้ทั้งทองและน้ำมันจะประกันความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีนี้มา
**เสนอระเบียบเล่นงานพวกปั่นราคา**
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลัง ๆ ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะมีการเก็งกำไรปั่นตลาดสร้างราคาน้ำมันขึ้น ทำให้ทางการสหรัฐฯตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้จัดการกับเรื่องดังกล่าว
คณะกรรมธิการการค้าของสหรัฐฯ (เอฟทีซี) เมื่อวันพุธได้นำเสนอระเบียบควบคุมพฤติกรรมการปั่นตลาดสร้างราคาดังกล่าว โดยจะให้อำนาจแก่คณะกรรมการตรวจสอบตลาดฟิวเจอร์ส และตลาดซื้อขายน้ำมันที่มีการส่งมอบกันจริง ๆ เพื่อป้องกันการฉ้อโกง, หลอกลวงในการซื้อขายน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่น ๆ
ภายใต้ระเบียบที่เสนอไปนี้ การฉ้อโกงหรือหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นการรายงานที่จงใจให้ผิดพลาดหรือจูงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องการกลั่น ท่อน้ำมัน หรือกิจกรรมของวาณิชธนกิจทั้งหลายในตลาดนี้ จะถูกลงโทษ ซึ่งอาจจะถูกปรับ 1 ล้านดอลลาร์ต่อวันที่ได้ละเมิดระเบียบนี้ไป