สถานการณ์ของพรรคพลังประชาชนในยามนี้หากใครติดตามมาตั้งแต่ต้นรับรองว่าจะเห็นอาการสั่นสะเทือนเข้าขั้นวิกฤต ปัจจัยเสี่ยงทั้งภายนอกภายในรุมเร้าอย่างหนัก และจนถึงขณะนี้ยังมองไม่เห็นแนวโน้มจะคลี่คลายอย่างไร
ตรงกันข้ามกลับมีแต่ตัวเร่งทำให้ทุกอย่างต้อง “ติดล็อก” เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้เหมือนกับนั่งรอชะตากรรมอย่างเดียว
ความเคลื่อนไหวต่างๆของบรรดาลิ่วล้อในพรรคพลังประชาชนเท่าที่เห็นในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัดฝุ่นกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุม หรืองัดกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทุกอย่างแม้จะดูขึงขังในตอนแรก แต่พอเอาเข้าจริงก็ “อ่อนล้า” และไร้เอกภาพเหมือนอยู่กันคนละพรรค ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างทำ
เพราะปัญหาอุปสรรคก็คือ สังคมรู้ทัน และนับวันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ คนที่ยังหลงไหลคลั่งไคล้เศรษฐีแสนล้านเวลานี้ก็แทบจะนับหัวได้
หลายคนเริ่มตาสว่าง ไม่เชื่อว่ารวยแล้วไม่โกง เพราะเริ่มพิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งรวยก็ยิ่งโกง
ถ้าโฟกัสเข้าไปในพรรคยามนี้บรรยากาศดูอึมครึมพิกล มีการตั้งก๊วน ตั้งแก๊ง สะสมกำลัง เพื่อรอวันเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า
การปรากฏตัวของ “แก๊งออฟโฟร์” จึงเป็นภาพสะท้อนที่แจ่มชัดยิ่งนัก เพราะในสภาพที่ “นายใหญ่” กำลัง “หมดสภาพ” ส่อให้เห็นอาการ “ถอดใจ” ทำให้พรรคใกล้พังครืนเข้ามาทุกขณะ
และที่สำคัญเมื่อนายใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือนแม่ทัพเคยกวาดต้อนบรรดา “ขุนศึก” ใหญ่น้อยเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้น แต่มาบัดนี้ทำท่าจะ “โยนผ้า” ตัดท่อน้ำเลี้ยงบรรยากาศจึงออกมาแบบโกลาหล
ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็คือเมื่อ “หมาใกล้ตาย” บรรดา “เห็บ-หมัด”ก็เตรียมกระโดดหนี เพื่อไปหาหมาตัวใหม่
อย่างไรก็ดีเพื่อชี้ให้เห็นที่มาที่ไปก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะมีสภาพวิกฤตแบบนี้ ก็เนื่องมากจากว่าทุกอย่างไปผูกโยงเอากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง เมื่อเจ้าของซวนเซ มันก็ย่อมทำให้กระทบกันเป็นลูกโซ่
โฟกัสให้เห็นภาพอีกทีก็ได้ว่า สภาพภายในหัวใจของ “เฮียแม้ว” ในเวลานี้ถือว่าไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจเรื่องอื่นๆ เอาแค่ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเผชิญว่า “คุก-ไม่คุก” เท่านั้น แถมทรัพย์สินอีกเกือบ “แสนล้าน” ที่กำลังถูกอายัดเอาไว้ แค่นี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ต้องลุ้นกันจนหน้าเขียว
ชวนให้เครียดจนหน้ามืดไม่มีกะใจไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
เพราะถ้าลองทบทวนความทรงจำจะพบว่า มีคดีที่กองอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 คดี คือคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษกที่ใกล้ชี้ขาด คาดว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดราวๆกลางเดือนหน้าก็น่าจะรู้ดำรู้แดง
ส่วนอีกสองคดีที่เหลือคือคดีทุจริตหวยบนดิน และคดีปล่อยกู้ให้พม่า 4 พันล้าน และยังเชื่อว่าอีกไม่นานจะทยอยตามมาติดอีกหลายคดี
ที่สำคัญคดีที่นำเข้าสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมันเสียวจนแทบหัวใจหยุดเต้น เพราะไม่มีอุทธรณ์ฎีกา “ป๊อกเดียวจอด” นี่แหละมันถึงได้บีบหัวใจเศรษฐีแสนล้านยิ่งนัก
เพราะถ้าเกิดซวยขึ้นมานอกจากต้องเดินเข้าคุกแล้วทรัพย์สินก็จะโดนยึดด้วย และถ้ามองหาตัวอย่างไม่เจอก็ลองนึกถึงคนชื่อ “รักเกียรติ สุขธนะ” ก็จะเห็นภาพได้ดี
และที่ผ่านมาภรรยาสุดที่รักก็มาประเดิมคดีไม่สวยเสียด้วยถูกจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในคดีโกงภาษี 546 ล้านบาท
นาทีนี้หลายคนจึงมองข้ามช็อตไปแล้วว่า เขาจะ “ลี้ภัย” ประเทศไหนกันแน่ ไปไกลถึงขนาดนั้นแล้ว เพราะบังเอิญมีคนแอบเห็นขบวนลำเลียงกระเป๋าใบใหญ่ถึง 9 ใบ ในวันเหินฟ้าไปต่างประเทศ
อย่างไรก็ดีมีหลายคนก็ยังเชื่อว่าทริปนี้ “แม้วกับเมีย” ยังต้องกลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยยังมีช่องทางให้ดิ้นได้ แต่คราวหน้าก่อนที่ศาลจะมีการชี้ขาดคดีแรกคือคดีที่ดินรัชดาฯในราวกลางเดือนหน้า
ต้องจับตาไม่กระพริบว่าจะมีรายการยื่นขอเดินทางไป “ทำธุรกิจ” นอกประเทศอีกหรือไม่ ตอนนั้นค่อยมาลุ้นกันอีกทีว่าจะกลับมาหรือไม่ !!
ขณะเดียวกันถ้าโฟกัสไปที่พรรคพลังประชาชนก็โคม่าไม่แพ้กัน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยืนกรานไม่ยอมขยายเวลาให้ยื้อคดียุบพรรคต่อไปอีก โดยขีดเส้นให้ “หมัก” กับ “เลี้ยบ” ต้องไปชี้แจงเพิ่มเติมภายในวันที่ 13 ส.ค.นี้ จากนั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนจะสรุปส่งให้ชี้ขาดในวันที่ 15 เดือนเดียวกัน
อีกไม่นานก็รู้ว่า ยุบ-ไม่ยุบ
อย่างไรก็ดีแม้ว่าผลจะยังไม่ออกมา แต่ดูเหมือนจะรู้ชะตากรรมล่วงหน้า เมื่อมีการสั่งให้หาพรรคใหม่เข้าไปสวมกันจ้าละหวั่น
เมื่อสภาพการณ์ไม่ว่าภายในภายนอกบีบคั้นรุมเร้าเข้ามาไม่ได้หยุดได้หย่อนแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่บรรดา เห็บ-หมัด ทั้งหลายจะหวั่นไหวเตรียมกระโดดหนี
ปรากฏการณ์ของ แก๊งออฟโฟร์ “หมัก-เลี้ยบ-โป๋-ห้อย” ก็สะท้อนภาพภายในของพรรคการเมืองเฉพาะกิจพรรคนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเห็นว่า “นายใหญ่” ส่อเค้าว่าจะไปไม่รอด ต่างคนต่างก็เร่งสะสมกำลัง เสบียงกันเป็นการใหญ่ เพื่อหาประโยชน์ให้กับตัวเองมากที่สุด
และที่สำคัญเมื่อเห็นว่า นายเก่าทำท่าจะไร้ประโยชน์ก็รวมหัวกัน “ลอยแพ” อย่างไม่ใยดี บรรยากาศนับถอยหลังในยามนี้เหมือนกับว่าต่างคนต่างตักตวงให้มากที่สุด
ข่าวคราวที่สังคมรับรู้ว่าเมื่อบรรดา “นักปล้น” ทั้งหลายขัดแย้งผลประโยชน์แบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัวก็ต้องมีรายการแฉโพยจึงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ก็นับว่าทำให้สังคมได้เห็นสภาพเน่าเฟะภายในที่แอบซ่อนเอาไว้มาตลอดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ และยิ่งสาวไส้กันมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเห็นรายการฆ่ากันเองจนตายหมู่ก็มีไม่น้อย
นาทีนี้ถ้าจะให้สรุปปัญหาภายในพรรคพลังประชาชนจึงอยู่ในสภาพที่ไร้หัว ต่างคนต่างต้องการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ไม่มีใครยอมใครใครมีความสามารถสะสมเสบียงได้มากกว่า มีไพร่พลมากกว่า ก็ย่อมต่อรองอำนาจมากกว่า
และถ้าเกิดซวยขึ้นมาเกิดตายยกเข่งถูกสั่งยุบพรรคอีกรอบ บรรดาเห็บ-หมัดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะกระโดดไปหา “หมาใหญ่” ตัวใหม่ เป็นวัฐจักรการเมืองน้ำเน่ายุคเก่าที่จะต้องหมุนวนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป หากสังคมยังหลับตาไม่กล้าเปลี่ยนแปลงไปสู่การเมืองใหม่
เมื่อโจรกลุ่มนี้จากไป โจรกลุ่มใหม่ก็เข้ามาแทน เอวัง !!
ตรงกันข้ามกลับมีแต่ตัวเร่งทำให้ทุกอย่างต้อง “ติดล็อก” เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้เหมือนกับนั่งรอชะตากรรมอย่างเดียว
ความเคลื่อนไหวต่างๆของบรรดาลิ่วล้อในพรรคพลังประชาชนเท่าที่เห็นในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัดฝุ่นกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุม หรืองัดกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทุกอย่างแม้จะดูขึงขังในตอนแรก แต่พอเอาเข้าจริงก็ “อ่อนล้า” และไร้เอกภาพเหมือนอยู่กันคนละพรรค ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างทำ
เพราะปัญหาอุปสรรคก็คือ สังคมรู้ทัน และนับวันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ คนที่ยังหลงไหลคลั่งไคล้เศรษฐีแสนล้านเวลานี้ก็แทบจะนับหัวได้
หลายคนเริ่มตาสว่าง ไม่เชื่อว่ารวยแล้วไม่โกง เพราะเริ่มพิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งรวยก็ยิ่งโกง
ถ้าโฟกัสเข้าไปในพรรคยามนี้บรรยากาศดูอึมครึมพิกล มีการตั้งก๊วน ตั้งแก๊ง สะสมกำลัง เพื่อรอวันเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า
การปรากฏตัวของ “แก๊งออฟโฟร์” จึงเป็นภาพสะท้อนที่แจ่มชัดยิ่งนัก เพราะในสภาพที่ “นายใหญ่” กำลัง “หมดสภาพ” ส่อให้เห็นอาการ “ถอดใจ” ทำให้พรรคใกล้พังครืนเข้ามาทุกขณะ
และที่สำคัญเมื่อนายใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือนแม่ทัพเคยกวาดต้อนบรรดา “ขุนศึก” ใหญ่น้อยเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้น แต่มาบัดนี้ทำท่าจะ “โยนผ้า” ตัดท่อน้ำเลี้ยงบรรยากาศจึงออกมาแบบโกลาหล
ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็คือเมื่อ “หมาใกล้ตาย” บรรดา “เห็บ-หมัด”ก็เตรียมกระโดดหนี เพื่อไปหาหมาตัวใหม่
อย่างไรก็ดีเพื่อชี้ให้เห็นที่มาที่ไปก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะมีสภาพวิกฤตแบบนี้ ก็เนื่องมากจากว่าทุกอย่างไปผูกโยงเอากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง เมื่อเจ้าของซวนเซ มันก็ย่อมทำให้กระทบกันเป็นลูกโซ่
โฟกัสให้เห็นภาพอีกทีก็ได้ว่า สภาพภายในหัวใจของ “เฮียแม้ว” ในเวลานี้ถือว่าไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจเรื่องอื่นๆ เอาแค่ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเผชิญว่า “คุก-ไม่คุก” เท่านั้น แถมทรัพย์สินอีกเกือบ “แสนล้าน” ที่กำลังถูกอายัดเอาไว้ แค่นี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ต้องลุ้นกันจนหน้าเขียว
ชวนให้เครียดจนหน้ามืดไม่มีกะใจไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
เพราะถ้าลองทบทวนความทรงจำจะพบว่า มีคดีที่กองอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 คดี คือคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษกที่ใกล้ชี้ขาด คาดว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดราวๆกลางเดือนหน้าก็น่าจะรู้ดำรู้แดง
ส่วนอีกสองคดีที่เหลือคือคดีทุจริตหวยบนดิน และคดีปล่อยกู้ให้พม่า 4 พันล้าน และยังเชื่อว่าอีกไม่นานจะทยอยตามมาติดอีกหลายคดี
ที่สำคัญคดีที่นำเข้าสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมันเสียวจนแทบหัวใจหยุดเต้น เพราะไม่มีอุทธรณ์ฎีกา “ป๊อกเดียวจอด” นี่แหละมันถึงได้บีบหัวใจเศรษฐีแสนล้านยิ่งนัก
เพราะถ้าเกิดซวยขึ้นมานอกจากต้องเดินเข้าคุกแล้วทรัพย์สินก็จะโดนยึดด้วย และถ้ามองหาตัวอย่างไม่เจอก็ลองนึกถึงคนชื่อ “รักเกียรติ สุขธนะ” ก็จะเห็นภาพได้ดี
และที่ผ่านมาภรรยาสุดที่รักก็มาประเดิมคดีไม่สวยเสียด้วยถูกจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในคดีโกงภาษี 546 ล้านบาท
นาทีนี้หลายคนจึงมองข้ามช็อตไปแล้วว่า เขาจะ “ลี้ภัย” ประเทศไหนกันแน่ ไปไกลถึงขนาดนั้นแล้ว เพราะบังเอิญมีคนแอบเห็นขบวนลำเลียงกระเป๋าใบใหญ่ถึง 9 ใบ ในวันเหินฟ้าไปต่างประเทศ
อย่างไรก็ดีมีหลายคนก็ยังเชื่อว่าทริปนี้ “แม้วกับเมีย” ยังต้องกลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยยังมีช่องทางให้ดิ้นได้ แต่คราวหน้าก่อนที่ศาลจะมีการชี้ขาดคดีแรกคือคดีที่ดินรัชดาฯในราวกลางเดือนหน้า
ต้องจับตาไม่กระพริบว่าจะมีรายการยื่นขอเดินทางไป “ทำธุรกิจ” นอกประเทศอีกหรือไม่ ตอนนั้นค่อยมาลุ้นกันอีกทีว่าจะกลับมาหรือไม่ !!
ขณะเดียวกันถ้าโฟกัสไปที่พรรคพลังประชาชนก็โคม่าไม่แพ้กัน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยืนกรานไม่ยอมขยายเวลาให้ยื้อคดียุบพรรคต่อไปอีก โดยขีดเส้นให้ “หมัก” กับ “เลี้ยบ” ต้องไปชี้แจงเพิ่มเติมภายในวันที่ 13 ส.ค.นี้ จากนั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนจะสรุปส่งให้ชี้ขาดในวันที่ 15 เดือนเดียวกัน
อีกไม่นานก็รู้ว่า ยุบ-ไม่ยุบ
อย่างไรก็ดีแม้ว่าผลจะยังไม่ออกมา แต่ดูเหมือนจะรู้ชะตากรรมล่วงหน้า เมื่อมีการสั่งให้หาพรรคใหม่เข้าไปสวมกันจ้าละหวั่น
เมื่อสภาพการณ์ไม่ว่าภายในภายนอกบีบคั้นรุมเร้าเข้ามาไม่ได้หยุดได้หย่อนแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่บรรดา เห็บ-หมัด ทั้งหลายจะหวั่นไหวเตรียมกระโดดหนี
ปรากฏการณ์ของ แก๊งออฟโฟร์ “หมัก-เลี้ยบ-โป๋-ห้อย” ก็สะท้อนภาพภายในของพรรคการเมืองเฉพาะกิจพรรคนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเห็นว่า “นายใหญ่” ส่อเค้าว่าจะไปไม่รอด ต่างคนต่างก็เร่งสะสมกำลัง เสบียงกันเป็นการใหญ่ เพื่อหาประโยชน์ให้กับตัวเองมากที่สุด
และที่สำคัญเมื่อเห็นว่า นายเก่าทำท่าจะไร้ประโยชน์ก็รวมหัวกัน “ลอยแพ” อย่างไม่ใยดี บรรยากาศนับถอยหลังในยามนี้เหมือนกับว่าต่างคนต่างตักตวงให้มากที่สุด
ข่าวคราวที่สังคมรับรู้ว่าเมื่อบรรดา “นักปล้น” ทั้งหลายขัดแย้งผลประโยชน์แบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัวก็ต้องมีรายการแฉโพยจึงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ก็นับว่าทำให้สังคมได้เห็นสภาพเน่าเฟะภายในที่แอบซ่อนเอาไว้มาตลอดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ และยิ่งสาวไส้กันมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเห็นรายการฆ่ากันเองจนตายหมู่ก็มีไม่น้อย
นาทีนี้ถ้าจะให้สรุปปัญหาภายในพรรคพลังประชาชนจึงอยู่ในสภาพที่ไร้หัว ต่างคนต่างต้องการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ไม่มีใครยอมใครใครมีความสามารถสะสมเสบียงได้มากกว่า มีไพร่พลมากกว่า ก็ย่อมต่อรองอำนาจมากกว่า
และถ้าเกิดซวยขึ้นมาเกิดตายยกเข่งถูกสั่งยุบพรรคอีกรอบ บรรดาเห็บ-หมัดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะกระโดดไปหา “หมาใหญ่” ตัวใหม่ เป็นวัฐจักรการเมืองน้ำเน่ายุคเก่าที่จะต้องหมุนวนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป หากสังคมยังหลับตาไม่กล้าเปลี่ยนแปลงไปสู่การเมืองใหม่
เมื่อโจรกลุ่มนี้จากไป โจรกลุ่มใหม่ก็เข้ามาแทน เอวัง !!