xs
xsm
sm
md
lg

โพธิสัตตบูรณาเทียนแห่งธรรมกับการบูรณาภูมิปัญญาเพื่อการกู้โลก (ตอนที่ 19)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

19. จอมคนของหวงอี้ (ต่อ)

“ชีวิตคนเพียงเป็นความฝันตื่นใหญ่ สามารถก่อการที่ระบือลือลั่นให้สมใจได้ก็เพียงพอแล้ว”

หวงอี้

จิต ของคนเรา แม้มีการแบ่งระดับชั้นสูงต่ำตามพัฒนาการทางจิตของแต่ละคน แม้มีการแบ่งความใจกว้างหรือคับแคบตามจิตลักษณ์ของแต่ละคนที่สร้างบุญกุศล สร้างกรรมในอดีตชาติมาไม่เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว จิต ของคนเราก็ล้วนแล้วแต่เป็น ห้วงอันเวิ้งว้างลึกล้ำสุดจะหยั่งถึง เหมือนกันทั้งสิ้น

หากเปรียบ จิต ของคนเราดุจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ความผันแปรสุดแปรปรวนสุดหยั่งคาด น่าจะเป็นคำอธิบาย ความเป็นจิต ได้ชัดเจนที่สุด บัดเดี๋ยวท้องฟ้าโปร่ง ลมเฉื่อยฉิว อาทิตย์สาดส่อง จันทร์ฉายแสง บัดเดี๋ยวปกคลุมด้วยเมฆดำพยับฝน ฟ้าแลบฟ้าร้อง จิตของคนเรานั้นเกลือกกลั้วอยู่กับ อารมณ์ทั้งเจ็ด ซึ่งได้แก่ ความรู้สึกยินดี เดือดดาล โศกเศร้า สุขสันต์ ความรัก ความชัง และความปรารถนา สลับกันไปมาตลอดเวลา นอกจากนี้ จิตของคนเรายังหมกมุ่นอยู่กับ กามคุณทั้งหก ซึ่งได้แก่ ความต้องการต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และมโนสำนึกอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จิตของคนเราจึงเสมือนตกอยู่ใน ทะเลแห่งความปรารถนา หรือ ทะเลทุกข์ ที่ยากจะฟันฝ่าข้ามพ้นไปได้ เป็นเช่นนี้อยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์

ผู้ที่เลือกเดินอยู่บน วิถีของโพธิสัตว์ จึงไม่ต่างจาก คนแจวเรือจ้าง ที่พาผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแห่งทุกข์อันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นลม พายุมรสุมเพื่อส่งผู้โดยสารไปให้ถึงฝั่งอีกฝั่งหนึ่ง โดยที่ทุกๆ ครั้งที่คนแจวเรือส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่งได้ คนแจวเรือผู้นั้นย่อมมี “ทางเลือก” ทุกครั้งที่จะกระโดดขึ้นฝั่งตามผู้โดยสารไปด้วยเสมอ หากเขาไม่ไปนั่นคงมีเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือ ความเมตตาอันไม่จำกัดของตัวเขานั่นเอง เนื่องเพราะยังคงมีผู้โดยสารอีกเป็นจำนวนมากที่รอให้เขากลับมารับเพื่อพายไปส่งขึ้นฝั่งอีก

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ขณะที่ตัวเขาพายเรือกลับเพื่อที่จะมารับผู้โดยสารอีกนั้น เรือแจวของเขาอาจประสบพายุล่มกลางมหาสมุทรได้เสมอ การบังคับเรือชีวิตกลางทะเลบ้าแห่งตัณหาความทะยานอยากมิใช่เรื่องง่ายๆ หากขาดสติ ประมาทชั่ววูบ เลินเล่อชะล่าใจเพียงนิดเดียว ย่อมจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากพายุอารมณ์คลื่นปรารถนาที่ก่อเกิดได้ทุกเมื่อ จนประสบสภาพเรืออับปางได้โดยง่าย

นี่คือ ความเสี่ยงในวิถีของโพธิสัตว์ ที่ผู้ที่คิดจะเดินบนเส้นทางสายนี้จะต้องรับรู้ สำเหนียก และพึงตระหนักไว้ให้จงดี แต่ ข้อเด่นข้อดีของวิถีแห่งโพธิสัตว์ ก็มีเหมือนกัน นั่นคือ คนผู้นั้นจะต้องเป็น บุคคลพิเศษ มากๆ และจะต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ หรือมีความสามารถมากเป็นพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดาในฐานะที่ตัวเขาเป็นคนแจวเรือข้ามมหาสมุทรอันเป็นความสามารถที่ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องมีเหมือนตัวเขา

ไม่แต่เท่านั้น คนผู้นั้นยังสามารถที่จะดื่มด่ำกับชีวิตได้อย่างลึกซึ้งที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถดื่มด่ำเติมเต็มกับความหมายของชีวิตได้ คนผู้นั้นยังสามารถที่จะสุขสำราญกับ “ละครโลกไม่รู้จบ” ที่ตัวเขาได้เล่นเป็น ตัวเอก ในทุกเรื่องที่ตัวเขาร่วมแสดงใน ละครจักรวาฬ เรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว อันเป็นระดับที่ไม่ส่งผลเสียต่อการทำให้เรือล่มกลางทะเลได้ คนผู้นั้นจึงสามารถมีชีวิตที่มีสีสันที่บรรเจิดพิสดารอย่างยากที่คนทั่วไปจะมีเช่นเขาผู้นั้นได้

ปณิธานของคนผู้นั้น ย่อมเป็นดังนี้

“สัตว์อันไม่มีประมาณเราต้องปลดเปลื้องให้พ้นจากทุกข์ภัย
ธรรมทั้งหลายอันไม่มีประมาณเราต้องเรียนรู้ให้สิ้น
กิเลสทั้งหลายอันไม่มีประมาณเราต้องกำราบและสลัดให้หลุด”


คนผู้นั้นย่อมดำริกับตนเองอยู่เสมอว่า หากคิดจะเป็นพุทธะ เป็นโพธิสัตว์ นำสัตว์ทั้งปวงเข้าสู่เป้าหมาย ไม่ลงนรกจะช่วยสัตว์นรกได้หรือ ถ้าคนเรากลัวความลำบากยากแค้น กลัวการมีปัญหา กลัวทุกข์ กลัวการบีบคั้น ชาตินี้ทั้งชาติคนเราจะเรียนรู้อะไรไม่ได้เลย

คนเราจึงต้องเป็นผู้กล้า ผู้ไม่เกรงกลัวการเผชิญหน้ากับชีวิตทุกรูปแบบที่ท้าทาย! หากคิดจะเดินบนเส้นทางสายนี้ คนผู้นั้นจะต้องฝึกลมปราณ และสมาธิตามแนวโพธิสัตว์ที่เป็นทั้งการฝึกพลัง และการขบปริศนาธรรมไปพร้อมๆ กัน ความก้าวหน้าในการฝึกวิชาสมาธิของโพธิสัตว์ จุดสำคัญนั้นอยู่ที่คนผู้นั้นจะต้องบ่มเพาะ เมล็ดพันธุ์ของจิตแห่งพุทธะ ให้เบ่งบาน เจริญงอกงาม ผลิดอกออกใบแตกกิ่งก้านสาขาจนเป็นร่มเงาให้ความอบอุ่นแก่จิตวิญญาณของตนเองได้ สิ่งนี้สำหรับคนทั่วไปแล้วอาจทำได้ไม่มากนัก แต่สำหรับผู้ที่ได้เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้แล้ว จะต้องทำสิ่งนี้ให้จงได้

เพราะมีแต่การหว่าน เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ ให้บังเกิดความตระหนักรู้ ความตื่น ความเบิกบานขึ้นในใจตนได้ก่อนแล้วเท่านั้น คนผู้นั้นถึงจะสามารถเข้าใจและเข้าถึง สมาธิของโพธิสัตว์ ได้เอง อย่างเป็นไปเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่า สมาธิโพธสัตว์ มิใช่สิ่งที่ต้องรอให้ใครคนอื่น ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดมาปลูกหว่านให้ แต่มันเป็นสิ่งที่คนผู้นั้นจะต้องลุกขึ้นมาลงไม้ลงมือ หว่าน เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ นี้ให้แก่ตนเองด้วยตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ ความเป็นพุทธะหรือความเป็นโพธิสัตว์ จึงมิใช่เรื่องของการบรรลุ และไม่ใช่เรื่องของการหวังที่จะบรรลุใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันเป็นเรื่องของการเต็มอกเต็มใจที่จะเป็น ยินดีที่จะทำเช่นนั้นโดยสมัครใจ ความหมายของการเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ คือ การยอมพลีกาย พลีใจและจิตวิญญาณของตนเป็นสะพานให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้เดินข้ามไปสู่ฟากโน้น มิใช่การที่ตนเองจะมุ่งข้ามจากฟากนี้ไปสู่ฟากโน้นเพียงลำพังเท่านั้น

พุทธะหรือโพธิสัตว์ย่อมมีจิตวิญญาณแบบนี้ จิตของพุทธะกับจิตของโพธิสัตว์จึงเป็นอันเดียวกัน เพราะความเป็นพุทธะหรือความเป็นโพธิสัตว์ มันเป็นเรื่องของการช่วยเหลือ ไม่ใช่เรื่องของการแสวงหา แต่เป็นเรื่องของการแบ่งปัน เอื้ออาทร และมอบให้โดยไม่มีเงื่อนไข โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ความรู้ของโพธิสัตว์ จึงต้องทั้งกว้างขวาง ทั้งลุ่มลึก ครอบคลุมยิ่งใหญ่ไพศาลเพราะต้องสร้างเสริมประสบการณ์เพื่อการช่วยเหลือผู้คน และเพื่อสั่งสมประสบการณ์ของตนให้แกร่งกล้า จะได้สามารถบรรเทาและแบ่งปันความทุกข์ ความเดือดร้อนของสรรพสัตว์ได้

การจะใช้ชีวิตเช่นนี้ได้ จึงเป็นเรื่องที่คนผู้นั้นต้องสมัครใจที่จะเป็นเอง ทำเอง คนผู้นั้นจึงต้องเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเวลาไปค้นหาเรื่องแคบๆ เฉพาะตนเอง แต่จะมุ่งค้นหาเรื่องที่มันใหญ่กว่านั้น เพื่อให้คนอื่นร่วมกันค้นหาด้วย คนผู้นั้นจึงมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกสลัดหลุด มีสาระในการเป็นอยู่ ไม่คิดเอารัดเอาเปรียบความเป็นพุทธะในตัวเอง และใช้ชีวิตของตนตามจินตภาพสูงสุดที่ตัวเขามีต่อตนเอง

***

“เขา” เคยฝันประหลาดครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นเขาฝันไปว่า ตัวเขากำลังปฏิบัติธรรม บำเพ็ญตบะสมาธิอยู่กับคุรุของเขา แต่ไม่แน่ใจว่าในฝันนั้น เขาอยู่ในยุคไหน สมัยใด และที่ใด เขารู้แต่ว่าตอนนั้นเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงแล้ว และเป็นที่ร่ำลือว่าเขาเป็นคนปราดเปรื่องในการเรียนวิชาต่างๆ ได้เร็วจนหาตัวจับยาก

ตอนนี้ “เขา” กำลังเรียนรู้วิชาสมาธิชนิดหนึ่งกับคุรุของเขาอยู่ร่วมกับศิษย์คนอื่นๆ แต่คราวนี้แปลกเหลือเกิน วิชาต่างๆ ที่เขาเคยเรียนได้อย่างง่ายดาย มาครั้งนี้ตัวเขากลับเรียนได้ยากกว่าใครๆ ศิษย์คนอื่นๆ ของคุรุของเขาทยอยสำเร็จวิชานี้ล่วงหน้าไปก่อนตัวเขาทีละคนสองคน จนสุดท้ายเหลือตัวเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังฝึกวิชานี้กับคุรุของเขาอยู่

“เขา” เร่งความเพียรพยายามในการฝึกอย่างจริงจัง และทุ่มเทเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าประการใดเลย จน “เขา” เริ่มปล่อยวาง ทันทีที่จิตเขาในความฝันปล่อยวางลงได้ คือปล่อยวางแม้กระทั่งความอยากความมุ่งมั่นที่จะบรรลุวิชานี้ จิตของ “เขา” กลับสว่างโพลงขึ้นมาโดยพลัน อันที่จริงการฝึกฝนตนเอง ฝึกวิชาต่างๆ เป็นความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวในชีวิตของเขาในความฝันเสมอมา หากแม้นจิตเขาในความฝันสลัดได้แม้แต่ความอยากอันนี้ จิตของเขาย่อมดับลง และคงจะมอดดับลงอย่างสิ้นเชิง

ในขณะที่จิตของ “เขา” ในความฝันใกล้จะดับสนิทอยู่รอมร่อแล้วนั้น ตัว “รู้” ของเขาได้บอกกับจิตเขาในความฝันว่า

“หากจิตดับลงอย่างสิ้นเชิง นั่นย่อมหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิตตลอดไป และหมายถึงการสิ้นสุดของพลังชีวิตด้วย ตัวเราจะสิ้นสุด พลังชีวิต ของตัวเอง หรือว่าจะสืบต่อ พลังชีวิต นี้ต่อไปอีก?”

ตัว “เขา” รู้ว่า นี่คงเป็นการเลือกครั้งสุดท้ายของจิตเขาในความฝันนั้น พอ “เขา” ได้ตัดสินใจเลือกที่จะสืบต่อ พลังชีวิต ต่อไปอีก ตัว “รู้” ในจิตเขาก็ถามจิตเขาในความฝันต่อไปอีกว่า

“แล้วอะไรเล่าที่จะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการสืบต่อใน พลังชีวิต ของจิตเรา หลังจากนี้เป็นต้นไป?”

คำตอบที่จิตเขาในความฝันตอบออกไปอย่างไม่ลังเล ก็คือ

“ย่อมเป็นการให้ที่เป็นการให้ตลอดไป และเป็นการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วย”

พอจิตเขาในความฝันตอบออกไปเช่นนี้เท่านั้น ฉับพลันคุรุของเขาก็มาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของตัวเขาในทันที ท่านประกาศก้องว่า

“บัดนี้ เธอได้กลายเป็นตัวฉันอีกคนหนึ่งแล้วนะ”

จากนั้น คุรุ ของเขาก็เอาผ้าแดงผืนใหญ่คลุมที่หัวไหล่ของเขา ส่วนเขาก็ก้มลงกราบแทบเท้า คุรุ ของเขา น้ำตาของเขาไหลอาบแก้มนองหน้า จากนั้น “เขา” ก็ตกใจตื่น และยังรู้สึกประหลาดใจและซาบซึ้งตรึงใจไม่หายกับความฝันประหลาดที่เพิ่งฝันไปเมื่อครู่ นี่คงเป็นความฝันที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจิตวิญญาณของตัวเขามากที่สุดครั้งหนึ่งในจำนวนไม่กี่ครั้งในชีวิตของเขา

***

ในบรรดาวรรณกรรมกำลังภายในทั้งหมดของ หวงอี้ งานเขียนที่บรรยายถึง มนุษย์ที่เป็นโพธิสัตว์ ได้อย่างมีชีวิตชีวาที่สุด ก็คือ “มังกรคู่สู้สิบทิศ” กับ “เทพมารสะท้านภพ” ที่กล่าวถึงศิษย์ของเรือนฌานเมตไตรย ทั้งคู่คือ ซือเฟยเซวียน และ ฉินเมิ่งเหยา ที่มีปัญญาเหนือคนและมีความสวยงามที่สูงส่งบริสุทธิ์ราวกับโพธิสัตว์กวนอิมจำแลงแปลงกายลงมาก็ว่าได้ ความเป็น อิตถีนิยม ในวรรณกรรมหวงอี้ ปรากฏให้เห็นในมโนภาพโพธิสัตว์กวนอิมจำแลงของยอดหญิงเหล่านี้นี่เอง (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น