สวัสดีครับ ทิศทางของตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาดูดีขึ้น แต่ยังคงไม่น่าไว้วางใจ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ผมคิดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำหรับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลก ได้แก่ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า โดยล่าสุดมีการปรับตัวลดลงมาแล้วในเดือนนี้ 15% ซึ่งเป็นการลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์
การลดลงของราคาน้ำมันดิบในรอบนี้อย่างน้อยจะเป็นการช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ รวมถึง ราคาสินค้าและบริการต่างๆ ในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้คาดว่าจะต้องเห็นการปรับราคาสินค้าอีกรอบหนึ่งแน่ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อไป แต่แนวโน้มเดือนต่อเดือนน่าจะลดลงในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 6 เดือน จะเป็นอีกแรงที่ช่วยให้การปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี และหากอัตราเงินเฟ้อมีอัตราเร่งที่ลดลงก็จะส่งผลให้อัตราเร่งของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลงไปด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหนุนต่อบรรยากาศการลงทุนทั้งสิ้น
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากให้ติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คือ ทิศทางของราคาน้ำมันดิบ และ ทองคำ ซึ่งในระยะสั้นต้องยอมรับว่าลดลงรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ราคาน้ำมันดิบ และ ทองคำ มีโอกาสที่จะลดลงต่อไปซึ่งหากเป็นอย่างนั้นก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นอีกในแง่ของเงินทุนที่มีโอกาสไหลออกจากตลาดน้ำมัน และ ทองคำ โดยหันมาสู่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวอาจจะยังไม่สะท้อนในตลาดหุ้นทันทีในสัปดาห์หน้า เพราะ ดูจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเหมือนจะลดลงแต่ยังคงมีหลงเหลืออยู่ ซึ่งแสดงว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีความไม่แน่ใจต่อภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกได้มีความเสี่ยงของการชะลอตัวมากขึ้น ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศเป็นขาขึ้นเต็มตัวแล้ว
สำหรับ สัปดาห์หน้า ผมประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่ามีโอกาสผันผวนแรง เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องการเมืองที่ผมประเมินว่า ตลาดฯยังคงยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงทั้งหมดลงไป ดังนั้น กรอบการเคลื่อนไหวจึงอาจกว้างถึง 660-720 จุด ขึ้นอยู่กับทิศทางการเมืองเป็นอย่างไร ส่วน การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/51 คาดว่าจะไม่ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนมากนัก เนื่องจาก กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่มีการคาการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อผลประกอบการไตรมาสที่ 2/51 ได้มีการประกาศผลประกอบการไปแล้ว
สำหรับประเด็นสำคัญ ได้แก่ การพิจารณาคดีของรมว.คลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมให้น้ำหนักมากที่สุดต่อตลาดหุ้น โดยหากศาลฏีการับคดีไว้พิจารณาก็จะทำให้ รมว.คลังต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ต้องมีการปรับ ครม. ประเด็นสำคัญ คือ ในสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะมาเป็น รมว.คลังคนต่อไป ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือน มิ.ย.ของธปท. โดยภาพรวมผมคิดว่าจะมีการชะลอตัวลงจากเดือนก่อน แต่ดุลการค้าดีขึ้น ซึ่งคาดว่าไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในระยะสั้น แต่ที่ต้องติดตามจะเป็นตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ค.มากกว่า ว่าจะสูงกว่าที่คาดการณ์อีกหรือไม่
การลดลงของราคาน้ำมันดิบในรอบนี้อย่างน้อยจะเป็นการช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ รวมถึง ราคาสินค้าและบริการต่างๆ ในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้คาดว่าจะต้องเห็นการปรับราคาสินค้าอีกรอบหนึ่งแน่ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อไป แต่แนวโน้มเดือนต่อเดือนน่าจะลดลงในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 6 เดือน จะเป็นอีกแรงที่ช่วยให้การปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี และหากอัตราเงินเฟ้อมีอัตราเร่งที่ลดลงก็จะส่งผลให้อัตราเร่งของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลงไปด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหนุนต่อบรรยากาศการลงทุนทั้งสิ้น
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากให้ติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คือ ทิศทางของราคาน้ำมันดิบ และ ทองคำ ซึ่งในระยะสั้นต้องยอมรับว่าลดลงรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ราคาน้ำมันดิบ และ ทองคำ มีโอกาสที่จะลดลงต่อไปซึ่งหากเป็นอย่างนั้นก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นอีกในแง่ของเงินทุนที่มีโอกาสไหลออกจากตลาดน้ำมัน และ ทองคำ โดยหันมาสู่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวอาจจะยังไม่สะท้อนในตลาดหุ้นทันทีในสัปดาห์หน้า เพราะ ดูจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเหมือนจะลดลงแต่ยังคงมีหลงเหลืออยู่ ซึ่งแสดงว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีความไม่แน่ใจต่อภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกได้มีความเสี่ยงของการชะลอตัวมากขึ้น ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศเป็นขาขึ้นเต็มตัวแล้ว
สำหรับ สัปดาห์หน้า ผมประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่ามีโอกาสผันผวนแรง เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องการเมืองที่ผมประเมินว่า ตลาดฯยังคงยังไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงทั้งหมดลงไป ดังนั้น กรอบการเคลื่อนไหวจึงอาจกว้างถึง 660-720 จุด ขึ้นอยู่กับทิศทางการเมืองเป็นอย่างไร ส่วน การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/51 คาดว่าจะไม่ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนมากนัก เนื่องจาก กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่มีการคาการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อผลประกอบการไตรมาสที่ 2/51 ได้มีการประกาศผลประกอบการไปแล้ว
สำหรับประเด็นสำคัญ ได้แก่ การพิจารณาคดีของรมว.คลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมให้น้ำหนักมากที่สุดต่อตลาดหุ้น โดยหากศาลฏีการับคดีไว้พิจารณาก็จะทำให้ รมว.คลังต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ต้องมีการปรับ ครม. ประเด็นสำคัญ คือ ในสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะมาเป็น รมว.คลังคนต่อไป ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือน มิ.ย.ของธปท. โดยภาพรวมผมคิดว่าจะมีการชะลอตัวลงจากเดือนก่อน แต่ดุลการค้าดีขึ้น ซึ่งคาดว่าไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในระยะสั้น แต่ที่ต้องติดตามจะเป็นตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ค.มากกว่า ว่าจะสูงกว่าที่คาดการณ์อีกหรือไม่