ผู้จัดการรายวัน - โอสถสภา ชี้จีดีพีทั้งปีโต 5% แต่ผู้บริโภคกลับไม่มั่นใจเศรษฐกิจ เปิดแผนครึ่งปีหลัง เร่งส่งนวัตกรรมปลุกกำลังซื้อ เทกว่า 70 ล้านบาท ปรับสูตรแป้งเด็กเบบี้มายด์"สวิทติ้ พิงค์" ชูจุดขายมอยซ์เจอไรเซอร์ ขยายฐานกลุ่มผู้ใหญ่ ลั่นปีหน้าโค่นจอห์นสันฯ รั้งอันดับ 2 ครองแชร์ 20% สิ้นปีกลุ่มคอนซูเมอร์โกยรายได้ 6,000 ล้านบาท
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เด็กเบบี้มายด์ เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเร่งเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ลงสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นกำลังการซื้อ แม้ว่าปีนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศทั้งปีมีอัตราการเติบโต 5% แต่เนื่องจากผู้บริโภคไม่มั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย และเริ่มลดปริมาณการใช้สินค้าที่ไม่จำเป็นลง อาทิ โรลออน กลุ่มคอสเมติก โดยพบว่าตลาดโคโลญจ์ติดลบ 10%
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 70 ล้านบาท เปิดตัวแป้งเด็กเบบี้มายด์"สวิทติ้ พิงค์" ซึ่งเป็นสูตรที่ปรับใหม่โดยเพิ่มคุณค่าเรื่องการบำรุงผิว เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายจากเด็กสู่กลุ่มเป้าหมายผู้หญิงอายุ 18-25 ปี โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา วัยทำงาน และคุณแม่ยุคใหม่ เนื่องจากพบว่าอัตราการเกิดของเด็กน้อยลง พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ โดยชูจุดเด่นส่วนผสมแป้งด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ ซึ่งนำมาริโอ้ เมาเร่อ และแพท - อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และเตรียมแจกสินค้าตัวอย่าง 1 ล้านชิ้น
นายวิเชียร กล่าวว่า ที่ผ่านมาแป้งเด็กจะชูกลยุทธ์ความเป็นสินค้าสำหรับเด็กเป็นจุดขาย โดยมีหลากหลายกลิ่น ทำให้แย่งลูกค้ากันเอง ซึ่งหลายแบรนด์พยายามวางตำแหน่งแต่ละกลิ่นให้มีความชัดเจน แต่ยังไม่เด่นชัดเท่าที่ควร ดังนั้นบริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางการตลาด โดยสร้างภาพลักษณ์เบบี้มายด์สวิทตี้ พิงค์ให้มีความชัดเจน โดยการนำเสนอและการสื่อสารจุดขายให้ชัดเจน และแยกกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
"เราเลือกที่จะปรับโฉมแป้งเด็กสีชมพู เพราะเป็นสีที่สะท้อนถึงความเป็นผู้หญิง อีกทั้งยังพบว่าเป็นกลิ่นที่มีสัดส่วนกว่า 50% หรือราวกว่า 1,000 ล้านบาท ในตลาดแป้งเด็ก ทำให้หลายแบรนด์โฟกัสที่สีชมพูมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจากการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มผู้ใหญ่จะผลักดันให้เบบี้มายด์มีอัตราการเติบโต 20% ในปีนี้"
สำหรับตลาดแป้งเด็กมูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าตลาดมีอัตราการเติบโต 6-7% โดยเฉพาะแป้งเด็กมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เติบโต 9% ขณะที่แป้งเพื่อความงามมูลค่า 300-400 ล้านบาท ติดลบ หลังจากเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาเติบโต 100-200% เนื่องจากราคาสูงกว่าแป้งเด็ก ที่เหลือเป็นแป้งเย็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจากการดำเนินการตลาดเชิงรุกตั้งเป้าปีหน้านี้ เบบี้มายด์จะขึ้นเป็นอันดับ 2 ครองส่วนแบ่งเพิ่มจากกว่า 16% เป็น 20% แทนที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์สัน ซึ่งมีส่วนแบ่ง 25% ส่วนผู้นำแป้งเด็กแคร์ 44%
นายวิเชียร กล่าวว่า บริษัทวางแผนเปิดตัวโรลออนทเวลฬ์พลัส สูตรใหม่ ป้องกันแบคทีเรีย นวัตกรรมใหม่ทางการตลาด ทั้งนี้เพื่อรักษาอัตราการเติบโตกลุ่มโรลออน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 30% ส่วนเรื่องราคาสินค้าบริษัทไม่มีแผนปรับขึ้น ขณะที่การร่วมมือกับภาครัฐลดราคาสินค้า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเจรจา แต่หากร่วมมือได้บริษัทก็ยินดีให้ความร่วมมือ แม้ว่าต้นทุนต่างๆ จะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการแลกเข้าจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดที่เพิ่มขึ้น จากคิดในอัตราเป็นหลักล้านบาทต่อสินค้า 1 รายการ ต่อ 1 สาขา
สำหรับผลประกอบการกลุ่มสินค้าอุปโภคให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีรายได้ 6,000 ล้านบาท จากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้ 3,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 8% ทั้งกลุ่มเบบี้มายด์ เป็นสินค้าเรือธงสร้างรายได้ 50% หรือราว 3,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอื่นๆ 3,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังสร้างรายได้บริษัทโอสถสภาราว 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เด็กเบบี้มายด์ เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเร่งเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ลงสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นกำลังการซื้อ แม้ว่าปีนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศทั้งปีมีอัตราการเติบโต 5% แต่เนื่องจากผู้บริโภคไม่มั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย และเริ่มลดปริมาณการใช้สินค้าที่ไม่จำเป็นลง อาทิ โรลออน กลุ่มคอสเมติก โดยพบว่าตลาดโคโลญจ์ติดลบ 10%
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 70 ล้านบาท เปิดตัวแป้งเด็กเบบี้มายด์"สวิทติ้ พิงค์" ซึ่งเป็นสูตรที่ปรับใหม่โดยเพิ่มคุณค่าเรื่องการบำรุงผิว เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายจากเด็กสู่กลุ่มเป้าหมายผู้หญิงอายุ 18-25 ปี โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา วัยทำงาน และคุณแม่ยุคใหม่ เนื่องจากพบว่าอัตราการเกิดของเด็กน้อยลง พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ โดยชูจุดเด่นส่วนผสมแป้งด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ ซึ่งนำมาริโอ้ เมาเร่อ และแพท - อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และเตรียมแจกสินค้าตัวอย่าง 1 ล้านชิ้น
นายวิเชียร กล่าวว่า ที่ผ่านมาแป้งเด็กจะชูกลยุทธ์ความเป็นสินค้าสำหรับเด็กเป็นจุดขาย โดยมีหลากหลายกลิ่น ทำให้แย่งลูกค้ากันเอง ซึ่งหลายแบรนด์พยายามวางตำแหน่งแต่ละกลิ่นให้มีความชัดเจน แต่ยังไม่เด่นชัดเท่าที่ควร ดังนั้นบริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางการตลาด โดยสร้างภาพลักษณ์เบบี้มายด์สวิทตี้ พิงค์ให้มีความชัดเจน โดยการนำเสนอและการสื่อสารจุดขายให้ชัดเจน และแยกกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
"เราเลือกที่จะปรับโฉมแป้งเด็กสีชมพู เพราะเป็นสีที่สะท้อนถึงความเป็นผู้หญิง อีกทั้งยังพบว่าเป็นกลิ่นที่มีสัดส่วนกว่า 50% หรือราวกว่า 1,000 ล้านบาท ในตลาดแป้งเด็ก ทำให้หลายแบรนด์โฟกัสที่สีชมพูมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจากการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มผู้ใหญ่จะผลักดันให้เบบี้มายด์มีอัตราการเติบโต 20% ในปีนี้"
สำหรับตลาดแป้งเด็กมูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าตลาดมีอัตราการเติบโต 6-7% โดยเฉพาะแป้งเด็กมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เติบโต 9% ขณะที่แป้งเพื่อความงามมูลค่า 300-400 ล้านบาท ติดลบ หลังจากเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาเติบโต 100-200% เนื่องจากราคาสูงกว่าแป้งเด็ก ที่เหลือเป็นแป้งเย็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจากการดำเนินการตลาดเชิงรุกตั้งเป้าปีหน้านี้ เบบี้มายด์จะขึ้นเป็นอันดับ 2 ครองส่วนแบ่งเพิ่มจากกว่า 16% เป็น 20% แทนที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์สัน ซึ่งมีส่วนแบ่ง 25% ส่วนผู้นำแป้งเด็กแคร์ 44%
นายวิเชียร กล่าวว่า บริษัทวางแผนเปิดตัวโรลออนทเวลฬ์พลัส สูตรใหม่ ป้องกันแบคทีเรีย นวัตกรรมใหม่ทางการตลาด ทั้งนี้เพื่อรักษาอัตราการเติบโตกลุ่มโรลออน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 30% ส่วนเรื่องราคาสินค้าบริษัทไม่มีแผนปรับขึ้น ขณะที่การร่วมมือกับภาครัฐลดราคาสินค้า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเจรจา แต่หากร่วมมือได้บริษัทก็ยินดีให้ความร่วมมือ แม้ว่าต้นทุนต่างๆ จะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการแลกเข้าจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดที่เพิ่มขึ้น จากคิดในอัตราเป็นหลักล้านบาทต่อสินค้า 1 รายการ ต่อ 1 สาขา
สำหรับผลประกอบการกลุ่มสินค้าอุปโภคให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีรายได้ 6,000 ล้านบาท จากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้ 3,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 8% ทั้งกลุ่มเบบี้มายด์ เป็นสินค้าเรือธงสร้างรายได้ 50% หรือราว 3,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอื่นๆ 3,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังสร้างรายได้บริษัทโอสถสภาราว 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท