เอเอฟพี/รอยเตอร์ - สองอภิมหาเศรษฐีหมื่นล้าน คือ บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งกิจการไมโครซอฟต์ และไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก จับมืออัดฉีดเงินบริจาครวม 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อสานโครงการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ทั่วโลกเมื่อวันพุธ (23) โดยฝ่ายแรกลงขัน 125 ล้านดอลลาร์ ส่วนฝ่ายหลังทุ่มเงินเพิ่มอีก 250 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่เคยบริจาคก้อนแรกไปแล้ว 125 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2005
"เป้าหมายของเราคือการสนับสนุนและเข้าไปเสริมความริเริ่มของครอบครัวบลูมเบิร์กให้สำเร็จ" เกตส์กล่าวในระหว่างการแถลงข่าว
ผู้ติดอันดับร่ำรวยที่สุดในโลกทั้งสอง คือ บลูมเบิร์ก (มีทรัพย์สิน 16,000 ดอลลาร์) และเกตส์ (มีทรัพย์สิน 58,000 ล้านดอลลาร์) ต่างก็บริจาคเงินส่วนหนึ่งให้กับโครงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้านต่างๆ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำหรับโครงการนี้ ทั้งสองกล่าวว่าในช่วงศตวรรษนี้จะมีผู้คนถึงหนึ่งพันล้านคนที่ต้องเสียชีวิตด้วยโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อลดการสูบบุหรี่ลง บลูมเบิร์กกล่าวด้วยว่าโลกที่ปลอดบุหรี่นั้น "เป็นโลกที่ผู้คนมีอายุยืนนาน และดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขมากกว่าเดิม"
ในปัจจุบัน มีผู้ใหญ่ราวหนึ่งในสี่คนทั่วโลกที่สูบบุหรี่ และในแต่ละปีมีประชากรโลกราว 5 ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรในเมืองนิวยอร์ก
บลูมเบิร์กกล่าวอีกว่าจำนวนคนสูบบุหรี่ในเมืองนิวยอร์กลดน้อยลงราว 300,000 คน นับตั้งแต่เขาเริ่มทำโครงการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีในปี 2005
ทั้งนี้ โครงการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์การขึ้นภาษีสินค้าบุหรี่ เปลี่ยนภาพลักษณ์ของการสูบบุหรี่ในสังคมเสียใหม่ ป้องกันผู้ไม่สูบบุหรี่จากการได้รับควันบุหรี่จากผู้ที่สูบบุหรี่ และช่วยผู้สูบบุหรี่ให้เลิกสูบ
นอกจากนั้น โครงการรณรงค์ดังกล่าวจะประสานงานกับรัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดียและจีนเพื่อหยุดการสูบบุหรี่ เนื่องจากมีรายงานว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่นับตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2030 จะเกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง
ที่ผ่านมา โครงการได้เคลื่อนไหวประสบผลไปแล้วบางส่วน กล่าวคือ อียิปต์ได้ขึ้นภาษีสินค้าบุหรี่ไปแล้วในอัตราสูง ฟิลิปปินส์ห้ามโฆษณาบุหรี่ในสื่อทุกชนิด ส่วนที่บราซิลและอีกหลายประเทศก็ใช้รูปภาพไม่ชวนซื้อติดไว้ที่หน้าซองเพื่อลดยอดขาย
อนึ่ง ประเทศที่ห้ามการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะทุกแห่ง 6 ประเทศด้วยกัน คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ไอร์แลนด์ อุรุกวัย และนิวซีแลนด์
"เป้าหมายของเราคือการสนับสนุนและเข้าไปเสริมความริเริ่มของครอบครัวบลูมเบิร์กให้สำเร็จ" เกตส์กล่าวในระหว่างการแถลงข่าว
ผู้ติดอันดับร่ำรวยที่สุดในโลกทั้งสอง คือ บลูมเบิร์ก (มีทรัพย์สิน 16,000 ดอลลาร์) และเกตส์ (มีทรัพย์สิน 58,000 ล้านดอลลาร์) ต่างก็บริจาคเงินส่วนหนึ่งให้กับโครงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้านต่างๆ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำหรับโครงการนี้ ทั้งสองกล่าวว่าในช่วงศตวรรษนี้จะมีผู้คนถึงหนึ่งพันล้านคนที่ต้องเสียชีวิตด้วยโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อลดการสูบบุหรี่ลง บลูมเบิร์กกล่าวด้วยว่าโลกที่ปลอดบุหรี่นั้น "เป็นโลกที่ผู้คนมีอายุยืนนาน และดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขมากกว่าเดิม"
ในปัจจุบัน มีผู้ใหญ่ราวหนึ่งในสี่คนทั่วโลกที่สูบบุหรี่ และในแต่ละปีมีประชากรโลกราว 5 ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรในเมืองนิวยอร์ก
บลูมเบิร์กกล่าวอีกว่าจำนวนคนสูบบุหรี่ในเมืองนิวยอร์กลดน้อยลงราว 300,000 คน นับตั้งแต่เขาเริ่มทำโครงการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีในปี 2005
ทั้งนี้ โครงการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์การขึ้นภาษีสินค้าบุหรี่ เปลี่ยนภาพลักษณ์ของการสูบบุหรี่ในสังคมเสียใหม่ ป้องกันผู้ไม่สูบบุหรี่จากการได้รับควันบุหรี่จากผู้ที่สูบบุหรี่ และช่วยผู้สูบบุหรี่ให้เลิกสูบ
นอกจากนั้น โครงการรณรงค์ดังกล่าวจะประสานงานกับรัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดียและจีนเพื่อหยุดการสูบบุหรี่ เนื่องจากมีรายงานว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่นับตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2030 จะเกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง
ที่ผ่านมา โครงการได้เคลื่อนไหวประสบผลไปแล้วบางส่วน กล่าวคือ อียิปต์ได้ขึ้นภาษีสินค้าบุหรี่ไปแล้วในอัตราสูง ฟิลิปปินส์ห้ามโฆษณาบุหรี่ในสื่อทุกชนิด ส่วนที่บราซิลและอีกหลายประเทศก็ใช้รูปภาพไม่ชวนซื้อติดไว้ที่หน้าซองเพื่อลดยอดขาย
อนึ่ง ประเทศที่ห้ามการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะทุกแห่ง 6 ประเทศด้วยกัน คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ไอร์แลนด์ อุรุกวัย และนิวซีแลนด์
